คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ลักทรัพย์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,595 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4007/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คดีลักทรัพย์และรับของโจร: ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และการระบุข้อเท็จจริงที่ชัดเจนในอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์สร้อยข้อมือและผ้าโสร่งไหม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 หรือขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรผ้าโสร่งไหมตามมาตรา 357 มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรสร้อยข้อมือด้วย ดังนั้น ความผิดฐานลักทรัพย์สร้อยข้อมือ ซึ่งมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา193 ทวิ การที่ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยข้อเท็จจริงในความผิดฐานลักทรัพย์สร้อยข้อมือจึงเป็นการไม่ชอบ ส่วนที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตาม มาตรา 334 หรือรับของโจรตามมาตรา 357 เฉพาะเรื่องผ้าโสร่งไหมนั้นก็เป็นการกระทำคนละกรรมความผิดกัน ความผิดตามมาตรา 334 ในส่วนนี้จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามที่กล่าวข้างต้นเช่นกัน ฉะนั้นในส่วนที่เกี่ยวกับผ้าโสร่งไหมโจทก์และโจทก์ร่วมคงอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้เฉพาะในความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 357 เท่านั้น ในคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองฉบับ คงอุทธรณ์แต่เฉพาะในข้อเท็จจริงที่ว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่าผ้าโสร่งไหมเป็นของโจทก์ร่วมเท่านั้น ไม่มีคำฟ้องอุทธรณ์ส่วนใดที่ได้แสดงให้เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมาจะมีข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานรับของโจรอันเป็นความผิดที่โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ได้ คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงมิได้ระบุข้อเท็จจริงโดยย่อพอที่จะอ้างอิงให้เห็นได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามที่ขอให้ลงโทษมาในคำขอท้ายอุทธรณ์เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้จึงเป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ไม้ในป่าสงวน: การฟ้องลักทรัพย์ต้องระบุเจ้าของที่ถูกต้องตามกฎหมาย
ต้นไม้ของกลางขึ้นเองตามธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ผู้เสียหายครอบครองทำประโยชน์อยู่ ย่อมเป็นของรัฐไม่ใช่ของผู้เสียหาย แต่โจทก์ฟ้องว่าเป็นของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องในข้อสาระสำคัญ ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 330/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายและการลักทรัพย์: การประเมินเจตนาและพยานหลักฐานในการพิพากษา
พวกจำเลยล้อมรถขายไอศกรีม ของผู้เสียหายไว้ จำเลยที่ 3 เข้าต่อรองราคา แม้จะเป็นราคาที่อาจรู้ว่าผู้เสียหาย ไม่ตกลงด้วย ก็ไม่ถือว่าเป็นการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อผู้เสียหาย การล้อมรถโดยไม่ปรากฏว่ามีท่าทางว่า จะเข้ามาทำร้ายผู้เสียหาย เพียงแต่ยืนจับกลุ่มกันอยู่ก่อน ไม่ถือว่าเป็นการใช้พวกเข้าขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ผู้เสียหายยอมจะให้ทรัพย์แก่พวกจำเลย จึงไม่เป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ จำเลยที่ 3 เจ้ามาขอซื้อไอศกรีม 7-8 แท่ง ในราคา 1 บาท จนผู้เสียหายไม่พอใจและชักอาวุธออกมา จำเลยทั้งสาม จึงกลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหาย เพราะผู้เสียหายชักอาวุธออกมา มิใช่เพราะเจตนาจะทำร้ายผู้เสียหายเพื่อประสงค์ต่อไอศกรีม ของผู้เสียหายแต่แรก ทั้งยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 หยิบเอาไอศกรีม ไปแจกจ่ายพวกจำเลย ประกอบกับ หลังจากนั้น โจทก์ไม่มีพยานยืนยันว่าจำเลยทั้งสามร่วมกัน ลักเอาไอศกรีม ดังกล่าวไป การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่เป็นความผิดทำร้ายร่างกาย ผลการชันสูตรบาดแผลของแพทย์มีความเห็นว่ามีรอยบวมเล็กน้อยที่ขมับด้านซ้าย บาดแผลรักษาหายภายใน3 วัน เป็นความเป็นผิดฐานทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3288/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งข้อหาและการสอบสวนความผิดฐานรับของโจร แม้แจ้งข้อหาลักทรัพย์ก่อน โจทก์มีอำนาจฟ้องได้หากสอบสวนพบหลักฐาน
ภายหลังจากวีดีโอเทปของผู้เสียหายได้หายไปแล้ว ทางสืบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจทราบว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองวีดีโอเทปดังกล่าว พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาลักทรัพย์แก่จำเลยก็เนื่องจากได้ข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองวีดีโอเทป แต่การที่จำเลยมีวีดีโอเทปไว้ในครอบครองอาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ได้สอบสวนถึงการกระทำนั้นของจำเลยแล้ว ทั้งการแจ้งข้อหาแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 นั้น หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาทุกกระทงความผิดไม่ แม้เดิมจะตั้งข้อหาหนึ่งแต่เมื่อสอบสวนไปแล้ว ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานอื่นด้วย ก็เรียกว่าได้มีการสอบสวนในความผิดดังกล่าวด้วยแล้ว ดังนั้นแม้ชั้นแรกพนักงานสอบสวนจะตั้งข้อหาลักทรัพย์แก่จำเลย แต่เมื่อสอบสวนพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานอัยการโจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยน่าจะเป็นความผิดฐานรับของโจรและฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรด้วย ก็ถือว่าได้มีการสอบสวนความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 120 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3288/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องความผิดฐานรับของโจร: การสอบสวนครอบคลุมทั้งฐานลักทรัพย์และรับของโจร ถือว่ามีการสอบสวนความผิดฐานรับของโจรแล้ว
พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาลักทรัพย์แก่จำเลยเนื่องจากได้ข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองวีดีโอเทปของผู้เสียหายที่ถูกลักไป การที่จำเลยมีวีดีโอเทปของผู้เสียหายซึ่งถูกลักไปไว้ในครอบครองจึงอาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ได้สอบสวนถึงการกระทำนั้นของจำเลยแล้วทั้งการแจ้งข้อหาแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาทุกกระทงความผิดไม่ แม้เดิมจะตั้งข้อหาหนึ่งแต่เมื่อสอบสวนไปแล้ว ปรากฏว่าการกระทำ ของจำเลยเป็นความผิดฐานอื่นด้วย ก็เรียกว่าได้มีการสอบสวนในความผิดดังกล่าวด้วยแล้ว ดังนั้นแม้ชั้นแรกพนักงานสอบสวนตั้งข้อหาลักทรัพย์แก่จำเลยแต่เมื่อสอบสวนพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยน่าจะเป็นความผิดฐานรับของโจรและฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรด้วย ถือได้ว่ามีการสอบสวนความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3286/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการเอาทรัพย์ผู้อื่นไปเพื่อหักหนี้ ไม่ถือเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ หากราคาทรัพย์ไม่เกินจำนวนหนี้
จำเลยเอาสร้อยคอทองคำและพระเลี่ยมทองคำรวมราคา 30,000 บาทของผู้เสียหายไปเพื่อเป็นการตอบแทนที่ผู้เสียหายได้ร่วมประเวณีกับจำเลย เพราะเหตุที่ผู้เสียหายไม่ยอมชำระเงินจำนวน 5,000 บาทตามที่ได้ตกลงกันไว้ เป็นการเอาไปเพื่อหักใช้หนี้กันและทรัพย์ที่เอาไปนั้น จำเลยก็เข้าใจว่ามีราคาไม่เกินกว่าจำนวนหนี้ที่เป็นหนี้จำเลยอยู่ จำเลยเอาทรัพย์ไปเพราะจำเลยเชื่อว่าเป็นประโยชน์ที่จำเลยควรได้ จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยไม่มีเจตนาทุจริต ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3170/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีลักทรัพย์โดยอาศัยพยานบอกเล่าและคำรับสารภาพที่ไม่น่าเชื่อถือ
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานว่าจำเลยทั้งสามเป็นคนร้ายลักทรัพย์คงมีแต่คำให้การของ ว.ผู้เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทผู้เสียหาย ในชั้นสอบสวนว่าเห็นจำเลยทั้งสามลักทรัพย์ผู้เสียหายไป ซึ่งเป็นพยานบอกเล่า ทั้งไม่ปรากฏว่า ว.ได้แจ้งเรื่องที่เกิดขึ้นให้ผู้เสียหายทราบตามหน้าที่ของตน คำให้การของ ว.จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ โจทก์คงมีเพียงคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยทั้งสาม ซึ่งจำเลยทั้งสามก็นำสืบว่า เหตุที่ให้การรับสารภาพเพราะถูกขู่เข็ญบังคับและกลัวจะถูกทำร้าย พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้ลงโทษจำเลยทั้งสามได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2819/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจร ศาลฎีกายกฟ้องข้อหาที่ยุติแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดฐานลักทรัพย์ จึงถือได้ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ต้องถือว่าข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ยุติไปแล้วจำเลยอุทธรณ์ขอให้พิพากษายกฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะวินิจฉัยก็คือ จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดฐานรับของโจร และพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองฐานรับของโจรซึ่งยุติไปแล้วนั้น จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยทั้งสองมีสิทธิฎีกาขอให้ยกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ยกฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2819/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกายกฟ้องฐานรับของโจร แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษ เนื่องจากข้อหาดังกล่าวสิ้นสุดแล้วหลังศาลชั้นต้นพิพากษาเฉพาะความผิดฐานลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ จึงถือได้ว่าศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ข้อหาฐานรับของโจร เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ต้องถือว่าข้อหาความผิดฐานรับของโจรได้ยุติไปแล้ว จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องข้อหาฐานลักทรัพย์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะวินิจฉัยคือ จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์จึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 กลับไปวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีความผิดฐานรับของโจร และลงโทษจำเลยฐานรับของโจรซึ่งยุติไปแล้วนั้นไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา จำเลยมีสิทธิฎีกา ขอให้ยกฟ้องข้อหาฐานรับของโจรได้ และศาลฎีกาไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาใหม่ เพราะศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้ยกฟ้องจำเลยในข้อหาฐานลักทรัพย์แล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฟ้องในข้อหาฐานรับของโจรได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2480/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ลักทรัพย์ไม่สำเร็จ: การเบิกสินค้าโดยทุจริตแต่ยังอยู่ในครอบครองผู้เสียหาย
แม้จำเลยเป็นผู้เขียนใบเบิกสินค้าทั้ง 5 รายการ และเบิกสินค้าโดยไม่มีใบสั่งซื้อ 2 รายการ โดยทุจริตเพื่อลักทรัพย์ อันเป็นการลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้วก็ตาม แต่เมื่อสินค้านั้นยังคงอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายการกระทำของจำเลยดังกล่าว จึงเป็นเพียงการลงมือกระทำผิดฐานลักทรัพย์แล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอดเท่านั้น อันเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้าง
of 160