พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 888/2540 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หลักประกันทุเลาการบังคับคดีไม่ใช่การชำระหนี้ การโอนสิทธิเรียกร้องต้องยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์
จำเลยนำสมุดเงินฝากของธนาคารมาเป็นหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกา ศาลชั้นต้นมีหนังสือห้ามจำเลยถอนเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าว สมุดเงินฝากของธนาคารซึ่งจำเลยนำมาวางต่อศาลชั้นต้นเป็นเพียงหลักประกันในการขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกาเท่านั้นว่าจำเลยมีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ สมุดเงินฝากดังกล่าวจึงมิใช่เป็นตัวเงินซึ่งจำเลยนำมาวางต่อศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา แม้จำเลยแถลงต่อศาลขอชำระหนี้โดยยอมให้โจทก์รับเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้นได้ก็ตาม โจทก์ไม่อาจขอให้ศาลมีคำสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามสมุดเงินฝากนั้นให้โจทก์ได้ วิธีการที่ศาลจะให้ธนาคารส่งเงินตามสมุดเงินฝาก มาเพื่อจ่ายให้โจทก์จำต้องดำเนินการตามหมายบังคับคดี ถือไม่ได้ว่าจำเลยชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อจำเลยแถลงต่อศาลขอให้โจทก์รับเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้น ย่อมเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์แล้วหนี้ตามคำพิพากษาย่อมระงับ โจทก์จึงไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยได้อีกนั้น ประเด็นข้อนี้จำเลยมิได้อุทธรณ์ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคแรก
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า เมื่อจำเลยแถลงต่อศาลขอให้โจทก์รับเงินจากสมุดเงินฝากดังกล่าวไปจากศาลชั้นต้น ย่อมเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องให้โจทก์แล้วหนี้ตามคำพิพากษาย่อมระงับ โจทก์จึงไม่อาจบังคับคดีแก่จำเลยได้อีกนั้น ประเด็นข้อนี้จำเลยมิได้อุทธรณ์ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 859/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหย่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง แต่ศาลชั้นต้นให้หย่าได้ โดยประเด็นคือการยินยอมหรือไม่ยินยอมให้มีภรรยาอีกคน
ตามประเด็นแรกที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าโจทก์ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจให้จำเลยอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องนางย.เป็นภรรยาหรือไม่อันจะนำมาพิจารณาเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(1)ประเด็นดังกล่าวโจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านจนกระทั่งได้มีการสืบพยานเสร็จแล้วประเด็นที่ศาลชั้นต้นตั้งไว้แต่แรกดังกล่าวจึงชอบแล้วการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นขึ้นใหม่ว่าโจทก์มีเหตุฟ้องหย่าจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516หรือไม่ประเด็นที่กำหนดใหม่นี้ได้รวมถึงเหตุหย่าทุกข้อตามมาตรา1516และครอบคลุมไปถึงประเด็นเดิมด้วยทั้งจำเลยก็ได้อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าวดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไปตามประเด็นที่่กำหนดไว้จากข้อเท็จจริงในสำนวนโดยโจทก์มิได้โต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าไม่ชอบอย่างไรคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8337/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์สั่งให้จำเลยชดใช้ค่าทนายความแก่ผู้ซื้อทรัพย์ในคดีคัดค้านการขายทอดตลาด
จำเลยยื่นคำร้องอ้างว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบ ผู้ซื้อทรัพย์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีสิทธิร้องคัดค้านว่าการขายทอดตลาดชอบแล้ว และในกรณีเช่นนี้ผู้ซื้อทรัพย์เป็นผู้ที่ถูกร้องต่อศาล จึงเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ.มาตรา 1 (11)ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยซึ่งเป็นผู้แพ้คดีในชั้นอุทธรณ์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนผู้ซื้อทรัพย์ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 161 ประกอบมาตรา 246
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8156/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งศาลชั้นต้นที่รับรองมูลฟ้องแล้ว ศาลอุทธรณ์แก้เป็นยกฟ้องข้อหาเบิกความเท็จ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตาม ป.อ. มาตรา 177,264, 265, 267, 83, 86, 91 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่า คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 มีมูลทุกข้อหา ดังนั้น คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1ย่อมเด็ดขาด ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 170 โจทก์อุทธรณ์ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2เห็นว่าความผิดฐานเบิกความเท็จสำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งมีมูลมานั้นเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิ.อ.มาตรา 158 แล้วมีคำพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหาเบิกความเท็จ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ.มาตรา 170
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8156/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการแก้ไขคำสั่งไต่สวนมูลฟ้อง: เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคดีมีมูลแล้ว ศาลอุทธรณ์จะแก้ให้ยกฟ้องได้หรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177,264,265,267, 83,86,91 ศาลชั้นต้น ไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่า คดีโจทก์สำหรับ จำเลยที่ 1 มีมูลทุกข้อหา ดังนั้น คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลสำหรับ จำเลยที่ 1 ย่อมเด็ดขาด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 170 โจทก์อุทธรณ์ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2เห็นว่าความผิดฐานเบิกความเท็จสำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลชั้นต้น สั่งมีมูลมานั้นเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 แล้วมี คำพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ในข้อหา เบิกความเท็จ จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8153/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงหลังศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก1 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน และลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้2 ปี นั้น ศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องโจทก์อยู่ เพียงแต่ลงโทษแตกต่างไปจากศาลชั้นต้นเท่านั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นการพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่พิพากษากลับ จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ.มาตรา 219 ตรี โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8153/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงโทษจากกักขังเป็นปรับโดยศาลอุทธรณ์ ถือเป็นการแก้คำพิพากษาเดิม ไม่ใช่การกลับคำพิพากษา ทำให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นไปไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง ลงโทษจำคุก 1 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาไม่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนและลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปีนั้น ศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องโจทก์อยู่เพียงแต่ลงโทษแตกต่างไปจากศาลชั้นต้นเท่านั้น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นการพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่พิพากษากลับ จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษ จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ต้องระบุรายละเอียดข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยผิด มิฉะนั้นศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย
อุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งถึงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีหรือปัญหาข้อกฎหมายมีอยู่อย่างไรนำมาปรับคดีได้อย่างไรเพื่อศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยคดีตามข้ออุทธรณ์ได้ถูกต้องตามประเด็นที่ยังคงโต้เถียงกันอยู่เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในประเด็นที่ว่าโจทก์ทั้งสองมีสิทธิฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนหรือไม่พอสรุปได้ความเพียงว่าโจทก์จำเลยได้ตกลงซื้อขายที่ดินกันแต่จำเลยไม่ชำระราคาที่ดินให้ครบจำนวนถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้ผิดสัญญาโจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิจะฟ้องร้องดำเนินคดีแก่จำเลยเกี่ยวกับที่ดินตามที่ได้ตกลงซื้อขายกันได้เท่านั้นอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองหาได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้ให้ชัดแจ้งว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ชอบอย่างไรและโจทก์ทั้งสองควรจะชนะคดีได้เพราะเหตุใดไม่ส่วนอุทธรณ์ประเด็นราคาที่ดินที่ตกลงซื้อขายและการชำระราคาที่ดินของจำเลยโจทก์ทั้งสองเพียงแต่นำคำเบิกความของพยานโจทก์ในสำนวนมากล่าวอ้างไว้ในอุทธรณ์แล้วสรุปตามคำเบิกความดังกล่าวว่าโจทก์ทั้งสองและจำเลยตกลงซื้อขายที่ดินพิพาทในราคาไร่ละ200,000บาทมิใช่ไร่ละ30,000บาทจำเลยยังชำระราคาที่ดินให้แก่โจทก์ไม่ครบเท่านั้นหาได้โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบอย่างไรหรือเพราะเหตุใดไม่อุทธรณ์ของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7403/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาทางจำเป็นและทางภารจำยอม: ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยตามประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์ และข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยยุติตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมกว้าง 1 เมตร จึงไม่เป็นทางจำเป็น และให้ย้ายทางภารจำยอมตามที่จำเลยทั้งสองเสนอ โจทก์อุทธรณ์ว่าทางพิพาทเป็นทางภารจำยอมและเป็นทางจำเป็นด้วยศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต่อไปว่า ทางพิพาทไม่เป็นทางภารจำยอมจึงเป็นการวินิจฉัยไปตามประเด็นที่โจทก์อุทธรณ์หาเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบไม่
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมทุกด้าน คงมีเฉพาะทางพิพาทที่โจทก์และครอบครัวใช้เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์เท่านั้น จำเลยไม่ได้อุทธรณ์หรือยื่นคำแก้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต้องถือเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองจะฎีกาว่า โจทก์มีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะนอกเหนือจากทางพิพาทอีกไม่ได้
โจทก์อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เปิดทางจำเป็นกว้างตามแนวที่โจทก์ขอ แต่ไม่ระบุความกว้างให้ชัดเจน จึงอาจเกิดปัญหาในชั้นบังคับคดีได้ ศาลฎีกาจึงระบุให้จำเลยทั้งสองเปิดทางจำเป็นเสียให้ชัดแจ้งและไม่เกินกว่าที่โจทก์ขอมาในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมทุกด้าน คงมีเฉพาะทางพิพาทที่โจทก์และครอบครัวใช้เป็นทางเข้าออกที่ดินของโจทก์เท่านั้น จำเลยไม่ได้อุทธรณ์หรือยื่นคำแก้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต้องถือเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองจะฎีกาว่า โจทก์มีทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะนอกเหนือจากทางพิพาทอีกไม่ได้
โจทก์อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เปิดทางจำเป็นกว้างตามแนวที่โจทก์ขอ แต่ไม่ระบุความกว้างให้ชัดเจน จึงอาจเกิดปัญหาในชั้นบังคับคดีได้ ศาลฎีกาจึงระบุให้จำเลยทั้งสองเปิดทางจำเป็นเสียให้ชัดแจ้งและไม่เกินกว่าที่โจทก์ขอมาในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7127/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์หลังหมดอายุความและการตีความเจตนาของผู้ฟ้องอุทธรณ์
ตามอุทธรณ์ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้น ทนายจำเลยผู้อุทธรณ์ได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าเป็นอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 3 โดยระบุชื่อจำเลยที่ 1 และที่ 3ไว้ด้วย แสดงให้เห็นว่าทนายจำเลยผู้อุทธรณ์ประสงค์อุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 1และที่ 3 เท่านั้น เมื่อไม่ใช่เป็นกรณีที่พิมพ์ผิดพลาด การที่ทนายจำเลยทั้งห้าได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมอุทธรณ์เมื่อล่วงเลยเวลากำหนดอายุอุทธรณ์จากจำเลยที่ 1และที่ 3 อุทธรณ์ เป็นว่าจำเลยทั้งห้าอุทธรณ์ จึงเป็นการเพิ่มเติมตัวผู้อุทธรณ์จากจำเลยที่ 1 และที่ 3 มาเป็นจำเลยทั้งห้า จึงชอบที่ศาลอุทธรณ์จะสั่งยกคำร้องดังกล่าวเสีย