พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1482/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แก้ไขสัญญาประนีประนอมตามยอมได้หากเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ไม่กระทบคำพิพากษาเดิม
สัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษา จึงอยู่ในบังคับที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดหรือข้อผิดหลงในสัญญาดังกล่าวได้ต่อเมื่อเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อยอื่นๆ ทั้งนี้จะต้องไม่เป็นการกลับหรือแก้คำวินิจฉัยในคำพิพากษาหรือคำสั่งเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 143
คำฟ้องของโจทก์บรรยายเกี่ยวกับเลขที่อาคารที่โจทก์ซื้อจากการขายทอดตลาดคลาดเคลื่อน เป็นเพียงข้อผิดพลาดเล็กน้อย แม้โจทก์จะมิได้ขอแก้ไขคำฟ้อง และโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันระบุเลขที่อาคารคลาดเคลื่อนไปด้วย ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะพิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ เมื่อมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว โจทก์มีสิทธิขอแก้ไขข้อผิดพลาดได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตา 143 และมิใช่เป็นเรื่องการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาประนีประนอมยอมความให้นอกเหนือไปจากที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงกัน ทั้งมิใช่เป็นการกลับหรือแก้คำพิพากษาตามยอมเดิม ซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 143 วรรคสอง
คำฟ้องของโจทก์บรรยายเกี่ยวกับเลขที่อาคารที่โจทก์ซื้อจากการขายทอดตลาดคลาดเคลื่อน เป็นเพียงข้อผิดพลาดเล็กน้อย แม้โจทก์จะมิได้ขอแก้ไขคำฟ้อง และโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันระบุเลขที่อาคารคลาดเคลื่อนไปด้วย ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะพิพากษาให้คดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวได้ เมื่อมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว โจทก์มีสิทธิขอแก้ไขข้อผิดพลาดได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตา 143 และมิใช่เป็นเรื่องการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงสัญญาประนีประนอมยอมความให้นอกเหนือไปจากที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตกลงกัน ทั้งมิใช่เป็นการกลับหรือแก้คำพิพากษาตามยอมเดิม ซึ่งต้องห้ามตามมาตรา 143 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10987/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก: ศาลต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของกองมรดก ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัวของผู้มีส่วนได้เสีย
แม้ผู้คัดค้านทั้งสองจะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1713 วรรคหนึ่ง ก็เพียงแต่ทำให้ผู้คัดค้านทั้งสองมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายเท่านั้น ส่วนการตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก ศาลจะต้องดำเนินการตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายดังกล่าววรรคท้ายซึ่งบัญญัติว่า "การตั้งผู้จัดการมรดกนั้น ถ้าไม่มีข้อกำหนดพินัยกรรม ก็ให้ศาลตั้งเพื่อประโยชน์แก่กองมรดกตามพฤติการณ์" กรณีนี้เป็นกรณีที่ผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ ศาลจึงต้องตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อประโยชน์แก่กองมรดก ผู้คัดค้านทั้งสองต้องการเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายโดยอ้างว่าทรัพย์มรดกของผู้ตายบางอย่างเป็นของผู้คัดค้านทั้งสองจึงมีลักษณะเป็นการโต้แย้งเป็นปรปักษ์กับกองมรดกอย่างชัดแจ้ง การขอเป็นผู้จัดการมรดกก็เพื่อรักษาประโยชน์ของผู้คัดค้านทั้งสองเอง นอกจากนั้นการที่ผู้คัดค้านทั้งสองนำสืบว่า เหตุที่ขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย เพราะไม่ไว้ใจผู้ร้องทั้งสองทำให้เห็นว่าหากให้ผู้คัดค้านทั้งสองเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องทั้งสอง ก็น่าจะก่อให้เกิดความยุ่งยากในการจัดการมรดกมากกว่าจะเป็นประโยชน์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8960/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาซื้อขายน้ำมัน: ศาลบังคับตามคำชี้ขาดอนุญาโตตุลาการได้ แม้ไม่ได้วินิจฉัยทุกประเด็นที่คู่ความอ้าง
ประเด็นข้อพิพาทที่ผู้คัดค้านอ้างเป็นข้อพิพาทที่เกิดจากหรือเกี่ยวข้องกับสัญญาซื้อขายน้ำมันปิโตรเลียมซึ่งจะต้องพิจารณาและชี้ขาดโดยอนุญาโตตุลาการตามข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งกรุงลอนดอน (London Court of International Arbitration) ตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดและเงื่อนไขของสัญญาระหว่างผู้ร้องและผู้คัดค้าน จึงมิใช่ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะวินิจฉัยในชั้นนี้ การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาแต่เพียงพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านนำสืบตามข้อต่อสู้ว่ารับฟังไม่ได้ ทั้งที่ผู้ร้องนำสืบไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องเป็นนิติบุคคลจริงเพราะไม่แสดงหนังสือรับรองนิติบุคคลที่ส่วนราชการซึ่งกำกับดูแลออกให้เป็นพยานหลักฐานนั้นเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเรื่องความเป็นผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถของคู่สัญญาตามกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คู่สัญญานั้น ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 43 (1) ซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่ผู้คัดค้าน และการที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบแสดงอย่างไรย่อมเป็นดุลพินิจของศาล เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลรับฟังพยานหลักฐานโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐานแต่อย่างใด จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าคำพิพากษาของศาลฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 (2) หรือไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของผู้คัดค้านจึงต้องห้ามตามกฎหมาย
ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ได้วินิจฉัยประเด็นที่ผู้คัดค้านโต้แย้งว่าผู้คัดค้านไม่ได้รับสำเนาคำชี้ขาดจากอนุญาโตตุลาการ จึงถือว่าศาลมิได้วินิจฉัยข้อโต้แย้งทุกข้อทุกประเด็น เป็นคำพิพากษาที่ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้โต้แย้งไว้ในคำคัดค้าน จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นคำคัดค้าน ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าวจึงชอบแล้ว
ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นพิจารณาแต่เพียงพยานหลักฐานที่ผู้คัดค้านนำสืบตามข้อต่อสู้ว่ารับฟังไม่ได้ ทั้งที่ผู้ร้องนำสืบไม่น่าเชื่อว่าผู้ร้องเป็นนิติบุคคลจริงเพราะไม่แสดงหนังสือรับรองนิติบุคคลที่ส่วนราชการซึ่งกำกับดูแลออกให้เป็นพยานหลักฐานนั้นเป็นการอุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเรื่องความเป็นผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถของคู่สัญญาตามกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คู่สัญญานั้น ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 43 (1) ซึ่งภาระการพิสูจน์ตกแก่ผู้คัดค้าน และการที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางจะรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบแสดงอย่างไรย่อมเป็นดุลพินิจของศาล เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลรับฟังพยานหลักฐานโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายว่าด้วยพยานหลักฐานแต่อย่างใด จึงไม่ต้องวินิจฉัยว่าคำพิพากษาของศาลฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 (2) หรือไม่ อุทธรณ์ข้อนี้ของผู้คัดค้านจึงต้องห้ามตามกฎหมาย
ที่ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่าศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางไม่ได้วินิจฉัยประเด็นที่ผู้คัดค้านโต้แย้งว่าผู้คัดค้านไม่ได้รับสำเนาคำชี้ขาดจากอนุญาโตตุลาการ จึงถือว่าศาลมิได้วินิจฉัยข้อโต้แย้งทุกข้อทุกประเด็น เป็นคำพิพากษาที่ฝ่าฝืนต่อบทกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านได้โต้แย้งไว้ในคำคัดค้าน จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นคำคัดค้าน ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าวจึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8830/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเอกสารใหม่เข้าสู่ชั้นศาล: ศาลรับฟังได้แม้ไม่ได้ยื่นในชั้นอุทธรณ์
แม้ในชั้นพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์จะมิได้นำเอกสารไปพิสูจน์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ก็ไม่มีกฎหมายห้ามมิให้นำเอกสารนั้นมาพิสูจน์ในชั้นศาลในประเด็นเดียวกับที่โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไว้แล้ว ทั้งข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ.2544 ซึ่งออกตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 20 ข้อ 15 และข้อ 16 ก็กำหนดให้คู่ความอ้างและส่งเอกสารเป็นพยานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนได้ โดยมิได้บังคับว่าเอกสารนั้นต้องเป็นเอกสารที่ส่งในชั้นพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ฉะนั้น แม้เอกสารที่โจทก์นำมาพิสูจน์ในชั้นศาลจะมิใช่เอกสารที่ได้นำไปพิสูจน์ในชั้นพิจารณาอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เอกสารนั้นก็รับฟังในชั้นศาลได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 871/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่มีลายมือชื่อ & หนังสือมอบอำนาจไม่ถูกต้อง ศาลสั่งไม่รับฟ้อง ชอบด้วยกฎหมาย แต่โจทก์ไม่โต้แย้ง
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งให้โจทก์แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวเสียก่อน หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งจึงจะสั่งให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้รับฟ้องและสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้อง คดีนี้เมื่อหนังสือมอบอำนาจไม่ถูกต้อง การแต่งทนายความก็ไม่ถูกต้องไปด้วย ทนายความผู้นั้นจึงไม่มีอำนาจทำการแทนในฐานะทนายความของโจทก์ ซึ่งเท่ากับคำฟ้องไม่มีลายมือชื่อโจทก์ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งให้แก้ไขข้อบกพร่องดังกล่าวเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งรับฟ้องและมีคำสั่งใหม่เป็นไม่รับฟ้องเสียทีเดียวเป็นการไม่ชอบ แต่อย่างไรก็ดีเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแล้ว โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น ทั้งโจทก์เองก็ไม่มีความประสงค์จะดำเนินคดีต่อไปโดยได้ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องไว้ก่อนแล้วแต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต แสดงว่าโจทก์พอใจในคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องแล้ว คดีจึงไม่มีเหตุสมควรที่จะส่งสำนวนคืนศาลชั้นต้นเพื่อจัดการให้มีการลงลายมือชื่อโจทก์ให้ถูกต้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 18 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8432/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกำหนดโทษพยายามกระทำความผิดทางอาญา: คำนวณจากอัตราโทษขั้นต่ำ-สูงสุด หรือจากโทษที่ศาลกำหนด?
ป.อ. มาตรา 80 วรรคสอง บัญญัติว่า "ผู้ใดพยายามกระทำความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น" หมายถึง การกำหนดโทษที่จะลงโดยคำนวณโทษจากสองในสามของอัตราโทษขั้นต่ำและขั้นสูงตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งโทษสองในสามส่วนของความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสอง ประกอบมาตรา 80 คือโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี 8 เดือน ถึง 13 ปี 4 เดือน หรือจำคุก 33 ปี 4 เดือน ที่ศาลกำหนดโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 8 ปี ก่อนลดโทษให้นั้น จึงเป็นการกำหนดโทษจำคุกในระหว่างโทษขั้นต่ำและขั้นสูงโดยคำนวณโทษจากสองในสามของอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดแล้ว มิใช่กำหนดโทษความผิดสำเร็จ ทั้งกฎหมายก็มิได้บัญญัติให้ศาลกำหนดโทษที่จะลงไว้ก่อนแล้วจึงคำนวณโทษสองในสามส่วนจากโทษที่ได้กำหนดไว้นั้นดังเช่นบัญญัติไว้ตาม ป.อ. มาตรา 54 ซึ่งเป็นเรื่องการคำนวณการเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลงจากโทษที่ได้กำหนดไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8252-8254/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีเดิมพิพากษาถึงที่สุดแล้ว การฟ้องคดีใหม่ด้วยเหตุเดิมแม้มีรายละเอียดต่างกัน ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
คดีเดิมที่โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางกล่าวอ้างว่าการทำหนังสือยินยอมให้จำเลยลดเงินเดือนเพื่อรับตำแหน่งใหม่ไม่ถูกต้องเพราะเป็นการทำตามระเบียบที่ออกมาภายหลังจากโจทก์ได้สอบคัดเลือกแล้ว จึงเรียกเงินเดือนส่วนที่ลดลงไปนับแต่เดือนสิงหาคม 2544 ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องและคดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อ้างว่าการที่จำเลยให้โจทก์ทำหนังสือยินยอมให้จำเลยลดเงินเดือนเป็นการฉ้อฉล ไม่สุจริต ผิดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่จำเลยทำไว้กับสหภาพแรงงาน ขัดต่อกฎหมาย แล้วเรียกเงินเดือนส่วนที่ลดลงไปนับแต่เดือนสิงหาคม 2544 เงินค่าครองชีพ เงินโบนัส ค่าชดเชยวันหยุด ค่าชดเชยวันพักร้อน และเงินอื่นๆ แม้ว่าโจทก์จะอ้างเหตุที่แสดงว่าการทำหนังสือยินยอมให้จำเลยลดเงินเดือนไม่ชอบด้วยเหตุที่แตกต่างจากในคดีเดิม และเรียกเงินอื่นเพิ่มมาจากในคดีก่อน แต่เป็นการกระทำสืบเนื่องมาจากมูลกรณีเดียวกัน ซึ่งโจทก์สามารถอ้างในการฟ้องและเรียกร้องเงินอื่นที่เพิ่มขึ้นมาในคดีเดิมได้ จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7638/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างบทมาตราในฟ้องอาญา ศาลปรับบทความผิดได้ตามข้อเท็จจริงที่รับฟัง โดยไม่เกินคำขอ
โจทก์ฟ้องโดยอ้างบทห้ามกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 มาด้วย เท่ากับโจทก์อ้างบทห้ามการกระทำความผิดตามมาตรา 43 (4) อยู่ในตัวแล้ว โจทก์หาจำต้องระบุอนุมาตรา (4) ของมาตรา 43 มาในคำขอท้ายฟ้องด้วยไม่ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลที่จะต้องพิพากษาปรับบทความผิดในมาตรานั้นๆ ให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4) จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7546/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจอนุญาโตตุลาการและขอบเขตการตรวจสอบคำสั่งของศาลในคดีอนุญาโตตุลาการ
การที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคำสั่งไม่รับคำคัดค้านหรือข้อเรียกร้องแย้งของผู้ร้องซึ่งอยู่ในฐานะเป็นผู้คัดค้านในชั้นอนุญาโตตุลาการ เป็นกรณีที่คณะอนุญาโตตุลาการใช้ดุลพินิจตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 25 วรรคสอง ที่ให้อำนาจคณะอนุญาโตตุลาการดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ได้ตามที่เห็นสมควรในเมื่อไม่มีบทบัญญัติใดในกฎหมายอนุญาโตตุลาการนั้นบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ซึ่งเมื่อคณะอนุญาโตตุลาการมีคำสั่งดังกล่าวแล้วคู่พิพาทจะใช้สิทธิทางศาลมายื่นคำร้องขอให้ศาลที่มีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ก็ต้องมีบทบัญญัติในพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ ให้สิทธิคู่พิพาทยื่นคำร้องขอได้ เมื่อไม่มีบทบัญญัติใดในพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการฯ ให้สิทธิคู่พิพาทยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเกี่ยวกับกรณีนี้ ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้มีคำสั่งให้คณะอนุญาโตตุลาการรับคำคัดค้านและข้อเรียกร้องแย้งของตน และหยุดการดำเนินกระบวนพิจารณาในชั้นอนุญาโตตุลาการในกรณีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7353/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจัดการทรัพย์สินสามีที่หายตัวไป: ศาลต้องไต่สวนก่อนมีคำสั่ง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า จำเลยซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายได้ออกไปจากภูมิลำเนาและไม่ได้กลับมาอีกเป็นเวลา 1 ปีเศษ โดยไม่ทราบว่าจำเลยเป็นตายร้ายดีประการใด จำเลยไม่อาจยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องสอดเข้าเป็นจำเลยร่วมโดยผู้ร้องได้ยื่นคำให้การต่อสู้คดีมาพร้อมคำร้อง เป็นกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ โดยมิได้ตั้งตัวแทนผู้รับมอบอำนาจทั่วไปไว้ และไม่มีใครรู้แน่ว่าจำเลยยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องก็ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งให้ผู้ร้องทำการอย่างหนึ่งอย่างใดไปพลางก่อนตามที่จำเป็นเพื่อจัดการทรัพย์สินของจำเลยตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 48 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของผู้ร้องให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดเสียก่อน การที่ศาลชั้นต้นด่วนมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยมิได้ไต่สวนคำร้องเสียก่อนเช่นนี้เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติ แห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณา ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของผู้ร้องและมีคำสั่งใหม่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นจึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติ แห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) ประกอบมาตรา 247 ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้