คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
บอกเลิกสัญญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,021 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2530/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาซื้อขายเนื่องจากผิดสัญญาและการปรับรายวันสูงเกินควร ศาลลดค่าปรับตามหลักความยุติธรรม
สัญญาซื้อขายชุดเครื่องมือซ่อมเครื่องเรดาร์ข้อ 7 วรรคแรกระบุว่า เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญา ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวนผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ วรรคสองระบุว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกัน หรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 6 เป็นจำนวนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ แล้วแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร ฯลฯ และตามสัญญาข้อ 8 วรรคแรกระบุว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 7 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบ นับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน วรรคสองระบุว่าในกรณีที่เป็นการซื้อสิ่งของที่ประกอบกันเป็นชุด ถ้าขาดส่วนประกอบส่วนหนึ่งส่วนใดไปแล้วจะไม่สามารถใช้การได้ทั้งชุด ถึงแม้ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของภายในกำหนดสัญญาแต่ยังขาดส่วนประกอบบางส่วน ต่อมาได้ส่งมอบส่วนประกอบที่ยังขาดนั้นเกินกำหนดสัญญา ให้ถือว่าไม่ได้ส่งมอบสิ่งของนั้นเลย และผู้ขายยินยอมให้ปรับเต็มราคาของทั้งชุด และวรรคสามระบุว่า ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 6 กับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 7 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบสิ่งของตามสัญญาได้ภายในกำหนด โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและยอมให้จำเลยส่งมอบสิ่งของเมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว โดยจำเลยยินยอมให้โจทก์ปรับตามสัญญาแต่ในระหว่างที่มีการปรับจำเลยได้ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์แต่ไม่ครบถ้วนและโจทก์ได้ยอมรับไว้ แต่โจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันและเรียกร้องค่าปรับเต็มราคาของทั้งชุด โดยถือว่าไม่ได้ส่งมอบสิ่งของนั้นเลย เป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8วรรคสาม โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าปรับรายวันได้
สินค้าที่ซื้อขายกันเป็นเงิน 341,500 บาท โจทก์ใช้สิทธิริบหลักประกันเป็นเงินสด 34,150 บาท แล้ว โจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาภายหลังเป็นเวลานานถึง 607 วัน ค่าปรับรายวันเป็นจำนวนสูงถึง 414,581 บาทนับว่าสูงเกินส่วน สมควรลดลงตามจำนวนพอสมควรตาม ป.พ.พ. มาตรา 383วรรคแรก เห็นสมควรกำหนดให้ 30,000 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2530/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขาย, การบอกเลิกสัญญา, ค่าปรับ, การลดค่าปรับตามมาตรา 383
สัญญาซื้อขายชุดเครื่องมือซ่อมเครื่องเรดาร์ข้อ 7 วรรคแรกระบุว่า เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญา ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้วรรคสองระบุว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกัน หรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 6 เป็นจำนวนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้ แล้วแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร ฯลฯ และตามสัญญาข้อ 8 วรรคแรกระบุว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 7 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน วรรคสองระบุว่าในกรณีที่เป็นการซื้อสิ่งของที่ประกอบกันเป็นชุด ถ้าขาดส่วนประกอบส่วนหนึ่งส่วนใดไปแล้วจะไม่สามารถใช้การได้ทั้งชุด ถึงแม้ผู้ขายจะส่งมอบสิ่งของภายในกำหนดสัญญาแต่ยังขาดส่วนประกอบบางส่วน ต่อมาได้ส่งมอบส่วนประกอบที่ยังขาดนั้นเกินกำหนดสัญญา ให้ถือว่าไม่ได้ส่งมอบสิ่งของนั้นเลย และผู้ขายยินยอมให้ปรับเต็มราคาของทั้งชุดและวรรคสามระบุว่า ในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันตามสัญญาข้อ 6 กับเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 7 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบสิ่งของตามสัญญาได้ภายในกำหนดโจทก์ได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาและยอมให้จำเลยส่งมอบสิ่งของเมื่อพ้นกำหนดเวลาแล้ว โดยจำเลยยินยอมให้โจทก์ปรับตามสัญญา แต่ในระหว่างที่มีการปรับจำเลยได้ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์แต่ไม่ครบถ้วนและโจทก์ได้ยอมรับไว้ แต่โจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันและเรียกร้องค่าปรับเต็มราคาของทั้งชุด โดยถือว่าไม่ได้ส่งมอบสิ่งของนั้นเลย เป็นการใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 8 วรรคสามโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกค่าปรับรายวันได้ สินค้าที่ซื้อขายกันเป็นเงิน 341,500 บาท โจทก์ใช้สิทธิริบหลักประกันเป็นเงินสด 34,150 บาท แล้ว โจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาภายหลังเป็นเวลานานถึง 607 วัน ค่าปรับรายวันเป็นจำนวนสูงถึง414,481 บาท นับว่าสูงเกินส่วน สมควรลดลงตามจำนวนพอสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคแรก เห็นสมควรกำหนดให้30,000 บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2455/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลื่อนกำหนดชำระหนี้และผลกระทบต่อการบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดิน จำเลยต้องบอกกล่าวให้ชำระหนี้ก่อนบอกเลิกสัญญา
โจทก์และจำเลยได้ตกลงเลื่อนกำหนดวันจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาไปแล้วหลายครั้งหลายหน โดยต่างไม่ถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญาแสดงให้เห็นว่าโจทก์และจำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาจะซื้อขายเป็นสาระสำคัญอีกต่อไป ดังนั้นจำเลยจะอ้างว่าโจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินที่เหลือให้จำเลยตามกำหนดในสัญญา และถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แล้วให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำในทันทีหาได้ไม่ จำเลยชอบที่จะต้องปฏิบัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 387 โดยกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้โจทก์ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือเสียก่อน เมื่อโจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือภายในเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงจะเลิกสัญญาแก่โจทก์ได้ เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ จำเลยยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์
เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมรับหนังสือของทนายความโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยละเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามสัญญาให้โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2455/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดิน, การบอกเลิกสัญญา, การชำระหนี้, และการบังคับสัญญา การเลื่อนกำหนดชำระหนี้ไม่ถือเป็นการสละสิทธิ
โจทก์และจำเลยได้ตกลงเลื่อนกำหนดวันจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาไปแล้วหลายครั้งหลายหน โดยต่างไม่ถือว่าอีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายผิดสัญญา แสดงให้เห็นว่าโจทก์และจำเลยมิได้ถือเอากำหนดเวลาตามสัญญาจะซื้อขายเป็นสาระสำคัญอีกต่อไป ดังนั้นจำเลยจะอ้างว่าโจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินที่เหลือให้จำเลยตามกำหนดในสัญญา และถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา แล้วให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาและริบเงินมัดจำในทันทีหาได้ไม่ จำเลยชอบที่จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 โดยกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้โจทก์ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือเสียก่อน เมื่อโจทก์ไม่ชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือภายในเวลาที่กำหนดไว้ จำเลยจึงจะเลิกสัญญาแก่โจทก์ได้ เมื่อจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาหาได้ไม่ จำเลยยังไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่โจทก์ เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ แต่จำเลยไม่ยอมรับหนังสือของทนายความโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยละเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามสัญญาให้โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาโจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาค้ำประกันมีผลทันทีเมื่อเจ้าหนี้ได้รับแจ้ง และจำเลยไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลัง
การค้ำประกันการทำงานของ ณ. ที่จำเลยทำไว้ต่อโจทก์เป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราว เมื่อจำเลยได้ส่งหนังสือบอกเลิกสัญญาค้ำประกันไปยังโจทก์ที่สำนักงานของโจทก์ โดยณ. ในฐานะผู้จัดการของโจทก์ลงลายมือชื่อรับไว้ตั้งแต่วันที่3 กันยายน 2530 ถือว่าการบอกเลิกสัญญาค้ำประกันมีผลทันที โดยไม่จำต้องให้ที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์อนุมัติก่อนฉะนั้นการที่ ณ.เบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน2530 และวันที่ 30 ตุลาคม 2530 เป็นวันหลังจากวันที่จำเลยพ้นจากการเป็นผู้ค้ำประกันแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี, การบอกเลิกสัญญา, ดอกเบี้ยทบต้น, สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญา
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมิได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้จึงใช้บังคับได้จนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญา
การที่โจทก์ตกลงกับจำเลยให้ชำระหนี้เพื่อลดหนี้ลงและปลดจำนองทรัพย์สินที่จำนองเป็นประกันไว้ไปบางรายการและได้มีการชำระหนี้บางส่วนตามที่ตกลงกันไว้เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าคู่กรณีไม่ประสงค์จะให้มีการเดินสะพัดบัญชีกันอีกต่อไป สัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงเป็นอันสิ้นสุดลงในวันที่มีการชำระหนี้บางส่วนนั้น หลังจากนั้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน/ตึก: จำเลยผิดสัญญาเมื่อไม่บอกกล่าวก่อนบอกเลิกสัญญาส่วนโจทก์ต้องชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ย
สัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวระบุว่าชำระเงินดาวน์และเงินที่เหลือภายในกำหนดไว้ในสัญญา แต่ผู้ซื้อชำระเงินดาวน์เกินกำหนดเวลาตามสัญญาตลอดมาทุกงวด จำเลยก็ยินยอมรับไว้โดยมิทักท้วงถือว่าผู้ขายไม่ถือเอากำหนดเวลาชำระเงินดาวน์และราคาที่ดินพร้อมตึกแถวตามสัญญาเป็นสาระสำคัญ หากผู้ขายประสงค์จะเลิกสัญญาต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 คือต้องบอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้ผู้ซื้อชำระเงินดาวน์ที่ค้างชำระอยู่ก่อน ต่อเมื่อผู้ซื้อไม่ชำระเงินดาวน์ที่ค้างชำระอยู่ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ ผู้ขายจึงจะบอกเลิกสัญญาแก่ผู้ซื้อได้เมื่อผู้ขายมิได้บอกกล่าวกำหนดระยะเวลาพอสมควรให้ผู้ซื้อชำระเงินดาวน์ที่ค้างก่อน ผู้ขายจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญากับผู้ซื้อได้สัญญาจะซื้อขายยังไม่เลิกกัน ผู้ซื้อฟ้องบังคับให้ผู้ขายปฏิบัติตามสัญญาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อจะขาย: การชำระเงินค่าซื้อขาย vs. เงินมัดจำ และผลของการบอกเลิกสัญญา
สัญญาวางมัดจำจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2เป็นสัญญาจะซื้อจะขายเพราะมีรายการวางมัดจำเป็นเงิน 100,000 บาท และมีรายการกำหนดวันเวลาชำระเงินไว้ครบถ้วนโดยแบ่งชำระเงิน 2 งวด ตามสัญญาข้อ 2.1 และ 2.2 ต่อมาเมื่อถึงกำหนดชำระเงินงวดแรก ผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาเพิ่มเงินมัดจำขึ้นอีก แต่ข้อความในสัญญาระบุชัดว่าผู้จะขายได้รับเงินจำนวน 2,382,261 บาท ไว้จากผู้จะซื้อซึ่งมีจำนวนเท่ากับจำนวนเงินที่ระบุไว้ในสัญญาวางมัดจำจะซื้อจะขายข้อ 2.1 แม้ผู้ร้องจะมีพยานมาเบิกความสนับสนุนอธิบายสัญญาเพิ่มเงินมัดจำว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินมัดจำก็ขัดกับข้อความในเอกสารฟังได้ว่าสัญญาเพิ่มเงินมัดจำคือหลักฐานการชำระเงินค่าซื้อขายที่ดินตามสัญญาวางมัดจำจะซื้อจะขายนั่นเอง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิริบเงิน จำนวน 2,382,261 บาท ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 378(2) ได้ เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญาวางมัดจำจะซื้อจะขายแล้ว ผู้ร้องและจำเลยที่ 2 ต่างต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 391 วรรคแรก ผู้ร้องจึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยที่ 2 และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่บอกเลิกสัญญาดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 756/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบอกเลิกสัญญาซื้อขายและการปรับค่าเสียหาย กรณีผู้ขายไม่ส่งมอบสินค้า
ตามสัญญาข้อ 8 วรรคแรก ให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในกรณีผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อหรือส่งมอบไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวน โดยผู้ซื้อมีสิทธิ บอกเลิกสัญญาได้ และถ้าผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ซื้อก็มีสิทธิตามสัญญาข้อ 8 วรรคสองที่จะริบหลักประกันและมีสิทธิได้รับชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้น หากจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันบอกเลิกสัญญา ส่วนตามสัญญาข้อ 9 วรรคแรก เป็นกรณีที่ผู้ซื้อมิได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 ผู้ซื้อมีสิทธิปรับผู้ขายเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบจนกว่าจะส่งมอบครบถ้วน แต่ในระหว่างที่มีการปรับ ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ตามสัญญาข้อ 9 วรรคสามให้สิทธิผู้ซื้อบอกเลิกสัญญา ริบหลักประกันและเรียกร้องให้ชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับเป็นรายวัน ดังนั้น การที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ซื้อจะเรียกค่าปรับเป็นรายวันได้ต้องเป็นกรณีที่จำเลยส่งมอบสิ่งของไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวนเท่านั้น แต่คดีนี้จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้โจทก์เลย มิใช่ไม่ส่งมอบสิ่งของให้ถูกต้องครบถ้วน จึงไม่ต้องด้วยสัญญาข้อ 9 เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา แม้ระยะเวลาจะล่วงเลยมานานก็เป็นการบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 และโจทก์มีสิทธิตามสัญญาข้อ 8 วรรคสอง เมื่อไม่ใช่เป็นการบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 9โจทก์จึงปรับจำเลยเป็นรายวันไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 679/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่า, การลดค่าเช่า, สิทธิเลิกสัญญา, การริบเงินประกัน, การบอกเลิกสัญญา
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 568 วรรคแรก ข้อความว่าผู้เช่าจะเรียกให้ลดค่าเช่าลงตามส่วนก็ได้ มีความหมายอยู่ในตัวว่าผู้เช่าจะไม่เรียกให้ลดค่าเช่าลงก็ได้ บทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับให้ต้องลดค่าเช่าลงในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งให้เช่าสูญหายไปแต่เพียงบางส่วน สัญญาเช่าที่มีข้อตกลงว่าจำเลยต้องชำระค่าเช่าให้แก่โจทก์เป็นรายปีไม่ว่าจำนวนรั้วที่กั้นและเนื้อที่โฆษณาจะลดลงด้วยประการใดก็ตามค่าเช่าในแต่ละรายปีจะไม่เปลี่ยนแปลงนั้นจึงไม่ขัดต่อกฎหมาย สัญญามีข้อความว่า "ในกรณีที่ผู้เช่า (จำเลย) ไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนดเวลาที่ระบุไว้ในสัญญา ให้กรุงเทพมหานคร (โจทก์)ริบเงินค้ำประกันสัญญาตามสัญญาข้อ 3 และให้ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาต่อกันทันที โดยไม่ต้องบอกกล่าวก่อน" นั้นเป็นการให้สิทธิเลิกสัญญาเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เท่านั้น มิได้ให้สิทธิแก่จำเลยผู้ไม่ชำระหนี้ด้วย
of 103