คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ยินยอม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 676 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2153/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเข้าไปในบ้านเพื่อพูดคุยเรื่องเงินช่วยเหลืองานศพ ไม่ถือเป็นการบุกรุก หากยินยอมออกจากบ้านเมื่อถูกร้องขอ
จำเลยทั้งสองเป็นพี่สาวร่วมบิดามารดากันกับโจทก์ร่วม บ้านอยู่ใกล้เคียงกัน ได้เข้าไปในบ้านของโจทก์ร่วมเพื่อพูดกันในเรื่องเงินช่วยงานศพมารดา แม้จำเลยที่ 1จะเข้าไปถึงห้องนอน ส่วนจำเลยที่ 2 อยู่ในบันได แต่เมื่อโจทก์ร่วมบอกให้ออกไปจากบ้าน จำเลยทั้งสองก็ปฏิบัติตามด้วยดี พฤติการณ์เพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์ร่วมโดยปกติสุข จึงไม่มีความผิดฐานบุกรุก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1994/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระราคา ไม่เข้าข่ายฉ้อโกง หากยินยอม
ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องการซื้อขายที่ดิน โดยโจทก์ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยแล้ว และจำเลยได้ชำระราคาให้โจทก์บางส่วน ส่วนที่เหลือจำเลยได้ตกลงชำระให้โจทก์เป็นงวด ๆ ให้เสร็จสิ้นใน 1 ปี 6 เดือน แม้ภายหลังจำเลยกลับทำสัญญากู้ให้ไว้แทนโดยมีกำหนดชำระเงินภายใน 5 ปี แต่โจทก์ก็ยินยอมลงนามในสัญญากู้แล้วนั้น ข้อกล่าวหาของโจทก์ดังนี้ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1994/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินและสัญญากู้: ไม่เข้าข่ายฉ้อโกงเมื่อยินยอมเปลี่ยนสัญญา
ฟ้องโจทก์เป็นเรื่องการซื้อขายที่ดิน โดยโจทก์ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้จำเลยแล้วและจำเลยได้ชำระราคาให้โจทก์บางส่วน ส่วนที่เหลือจำเลยได้ตกลงชำระให้โจทก์เป็นงวดๆให้เสร็จสิ้นใน 1 ปี 6 เดือน แม้ภายหลังจำเลยกลับทำสัญญากู้ให้ไว้แทนโดยมีกำหนดชำระเงินกู้ภายใน 5 ปีแต่โจทก์ก็ยินยอมลงนามในสัญญากู้นั้นแล้ว ข้อกล่าวหาของโจทก์ดังนี้ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1656/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทิศที่ดินให้วัดและการสละสิทธิในที่ดินโดยปริยาย
โจทก์ฟ้องว่า วัดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้รุกล้ำเข้าไปปลูกสร้างวัดและกำแพงเขตของวัดจำเลยที่ 1 ในที่ดินมีโฉนดของโจทก์กับญาติโดยไม่สุจริต ขอให้ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยกับบริวารให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปและคืนที่ดินให้โจทก์ ทางพิจารณาฟังได้ว่าโจทก์ได้อุทิศที่พิพาทให้แก่วัดจำเลยที่ 1 ตั้งแต่ก่อนวัดจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ลงมือสร้างวัดจำเลยที่ 1 ขึ้นใหม่ดังนี้ กรณีไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 525 ดังฎีกาของโจทก์ และเมื่อวัดจำเลยที่ 1 วางศิลาฤกษ์ สร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญอาคารถาวรโจทก์ทราบและไม่คัดค้าน แสดงว่าโจทก์ยินยอมให้วัดจำเลยที่ 1 จำเลย ที่ 2 กระทำเช่นนั้น ฟังได้ว่าโจทก์ได้สละที่พิพาทให้แก่วัดจำเลยที่ 1 แล้ว ยังฟังไม่ได้ว่าวัดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้รุกล้ำเข้าไปปลูกสร้างวัดและกำแพงเขตวัดจำเลยที่ 1 ในที่ดินของโจทก์กับญาติโดยไม่สุจริต รูปคดีกลับเชื่อว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องจำเลยโดยไม่สุจริต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1329/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าของที่ดิน vs. เรือนหอ: เจ้าของที่ดินมีอำนาจขับไล่ได้แม้เคยยินยอมให้ปลูกสร้าง
ที่ดินพิพาทเดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส.บุตรชายโจทก์ต่อมาส. ขายที่ดินพิพาทให้แก่น้องชาย ส.แล้วน้องชายส. ขายให้โจทก์ จำเลยและบุตรสาวโจทก์เป็นสามีภรรยากัน ก่อนที่จำเลยและบุตรสาวโจทก์จะแต่งงานกัน จำเลยได้ออกเงินปลูกเรือนหอในที่ดินพิพาทซึ่ง ขณะนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส.โดยบุตรสาวโจทก์เป็นผู้ขออนุญาตส. และโจทก์ยินยอมอนุญาตให้ จำเลยปลูกเรือนหอได้ ต่อมาจำเลยกับน้องภรรยาจำเลยเกิดทะเลากัน ภรรยาจำเลย โจทก์และญาติโจทก์ที่อยู่อาศัยในเรือนหอพากันออกไปจากเรือนหอ แล้วโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนเรือนหอออกไปจากที่ดินโจทก์ ดังนี้ เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทไม่มีความประสงค์จะให้เรือนหอของจำเลยปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์ต่อไป ก็ย่อมมีอำนาจขับไล่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336
แม้โจทก์จะเคยให้ความยินยอมร่วมกับ ส. อนุญาตให้จำเลยปลูกเรือนหอลงในที่ดิน ก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์และไม่ทำให้โจทก์เสียสิทธิในฐานะเจ้าของที่ดินในภายหลัง
ส่วนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 ที่เกี่ยวกับเรือนหอนั้น เป็นบทบัญยัติพิเศษยกเว้นกฎหมายลักษณะทรัพย์ ไม่ให้ถือว่าเรือนหกที่ชายปลูกลงในที่ดินของฝ่ายหญิงตกเป็นส่วนควบของที่ดินและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายหญิงผู้เป็นเจ้าของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 โดยให้ถือว่าเรือนหอนั้นเป็นกรรมสิทธิ์และสินเดิมของชายและเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับการแบ่งทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา มิใช่เป็นบทบัญญัติตัดทอนอำนาจกรรมสิทธิ์ของโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินให้ลดน้อยลงแต่อย่างใด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1256/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินที่ยินยอมให้หักเป็นประกันหนี้ ไม่ถือเป็นการชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิบังคับคดีได้
เงินที่จำเลยยินยอมให้โจทก์หักไว้เป็นเงินเพื่อเป็นประกันหนี้โจทก์ตามฟ้อง หาใช่เป็นการชำระหนี้แก่โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยไม่ เมื่อโจทก์นำเงินดังกล่าวชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว แต่ไม่พอชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะขอให้ศาลออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาจนครบได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2987/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมให้จำนอง/ขายฝากแล้วฟ้องขอคืนสิทธิ ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต และกรรมสิทธิ์โรงงานยังเป็นของเจ้าของเดิม
โจทก์ที่ 1 และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินโฉนดที่พิพาท แต่โจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดแต่ผู้เดียว และโจทก์ที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 1 ขายฝากที่ดินพิพาทแก่จำเลยที่ 2 แต่แล้วโจทก์ที่ 1 กลับใช้สิทธิในฐานะเจ้าของที่ดินร่วมฟ้องเรียกที่ดินส่วนของโจทก์ที่ 1 คืนจากจำเลยที่ 2 เช่นนี้จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
เอกสารสัญญาเช่าซื้อนั้น แม้ในขณะทำสัญญากันจะมิได้ปิดอากรแสตมป์แต่ต่อมาได้ปิดอากรแสตมป์ครบถ้วนแล้ว จะโดยผู้อ้างปิดอากรแสตมป์เองหรือผู้อ้างจะขอศาลให้สั่งเจ้าหน้าที่สรรพากรจัดการปิดให้ ก็มีผลเช่นเดียวกัน ศาลย่อมรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
เมื่อโรงงานทำน้ำแข็งและอุปกรณ์เครื่องทำน้ำแข็งพิพาทเป็นของโจทก์ที่ 2 ได้ก่อสร้างลงในที่ดินโฉนดที่ 2295 ซึ่งจำเลยที่ 1 มีกรรมสิทธิ์ และโจทก์ที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมในที่ดิน โดยโจทก์ที่1และจำเลยที่1ได้ยินยอมให้ปลูกลงในที่ดินเพื่อให้โจทก์ที่ 1 เช่าซื้อ แต่โจทก์ที่ 1 ยังชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ที่ 2 ยังไม่ครบถ้วน โรงงานน้ำแข็งและเครื่องทำน้ำแข็งจึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งดังกล่าวจึงเป็นสิ่งปลูกสร้างอันผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกทำลงไว้ในที่ดินนั้น จึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดที่ 2295 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 109 แม้ภายหลังต่อมาที่ดินโฉนดที่ 2295 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ตามหนังสือสัญญาขายฝาก โรงงานน้ำแข็งและเครื่องอุปกรณ์ทำน้ำแข็งก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 2 ไม่ใช่ส่วนควบของที่ดิน จึงไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่โจทก์ที่ 1 ออกจากโรงงานทำน้ำแข็ง และเรียกค่าเสียหายในการที่จำเลยที่ 2มิได้ครอบครองโรงงานทำน้ำแข็งพิพาทจากโจทก์ที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2810/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเชิดตัวแทนและการรับผิดในสัญญาซื้อขายที่ดิน แม้ลงชื่อเป็นพยานและผู้ให้ความยินยอม
จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน ให้ผู้อื่นทำการจัดสรรแบ่งที่ดินขายโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินนั้นกับผู้จัดสรร โดยจำเลยลงชื่อเป็นพยานและผู้ให้คำยินยอม ย่อมถือได้ว่าจำเลยเชิดผู้จัดสรรออกเป็นตัวแทน หรือยอมให้ผู้จัดสรรเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนในการขายที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์
จำเลยฎีกาว่า ฟ้องเคลือบคลุมและคดีขาดอายุความ โดยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2744/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายที่ดินมือเปล่าและอำนาจจำหน่ายสินบริคณห์ของสามี โดยไม่จำเป็นต้องมีคู่สมรสยินยอม
สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าอันเป็นสินบริคณห์ ซึ่งสามีลงชื่อเป็นผู้ขายแต่เพียงผู้เดียวนั้น หาใช่เป็นการขายเฉพาะส่วนของสามีไม่ แต่เป็นการขายทั้งแปลง เพราะสามีย่อมมีอำนาจจำหน่ายทรัพย์สินบริคณห์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1473 โจทก์จึงไม่จำต้องนำสืบว่าภรรยาได้รู้เห็นยินยอมด้วย
สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าซึ่งทำกันเอง เป็นหลักฐานอย่างหนึ่งที่แสดงว่าผู้ขายได้สละการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้ผู้ซื้อแล้วเท่านั้นเอกสารเช่นนี้ประมวลรัษฎากรหาได้กำหนดไว้ให้ปิดอากรแสตมป์แต่อย่างใดไม่ จึงรับฟังได้แม้มิได้ปิดอากรแสตมป์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2742/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ โจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยโอนขายที่ดินให้ผู้อื่นแทนที่จะโอนให้ตนเอง ทำให้ไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ก่อนถึงกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ จำเลยได้ทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างให้แก่บุคคลภายนอก โดยโจทก์ได้มาติดต่อกับเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้โอนที่พิพาทให้บุคคลภายนอกนั้นและโดยอาศัยใบมอบอำนาจของจำเลย ครั้นเจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถทำให้ได้ โจทก์ก็พาจำเลยมาทำนิติกรรมโอนขายให้บุคคลภายนอกเช่นนี้แสดงอยู่ว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมให้จำเลยทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทให้บุคคลภายนอกแทนที่จะทำการโอนให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์จะมากล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์หาได้ไม่ โจทก์มาฟ้องคดีถือว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
of 68