พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,439 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1194/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานทำและมีสุรากลั่น/แช่หลายกรรมต่างกัน ศาลฎีกาตัดสินว่าเป็นการกระทำผิดหลายกระทง และฎีกาขอรอการลงโทษเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องห้ามฎีกา
จำเลยทำความผิดข้อหาทำสุราแช่กับมีสุราแช่ และข้อหาทำสุรากลั่นกับมีสุรากลั่นคนละวันเวลากัน มิใช่ทำผิดในวันเวลาเดียวกันหรือในคราวเดียวกัน จึงเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษรวม 4 กระทงทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคแรก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดซ้ำซ้อนใน พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า: แยกกระทง vs. รวมกรรม
ความผิดฐานมีซากสัตว์ป่าสงวนไว้ในความครอบครองตาม พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 มาตรา 14 และ มาตรา 38 กับฐานมีไว้ในครอบครองและค้าซึ่งซากสัตว์อื่น ซึ่งเป็นซากสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามมาตรา 16 และมาตรา 40 กฎหมายแยกไว้คนละมาตราเป็นคนละฐานความผิด แสดงว่าเป็นเจตนารมณ์ ของกฎหมายที่ต้องการแยกเป็นคนละความผิดต่างกระทงกัน การกระทำความผิดดังกล่าวจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 91 ส่วนความผิดฐานค้าสัตว์ป่าคุ้มครอง กับฐานมีไว้ในครอบครองและค้าสัตว์ป่าคุ้มครองเป็นความผิดตามมาตรา 15 และมาตรา 40บทมาตราเดียวกัน แสดงว่ากฎหมายต้องการให้เป็นความผิดในลักษณะเดียวกัน เป็นวัตถุประเภทเดียวกัน ทั้งจำเลยกระทำผิดดังกล่าวในคราวเดียวกัน การกระทำความผิดดังกล่าวจึงเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ตาม ป.อ. มาตรา 90.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1043/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานรับของโจร แม้ฟ้องฐานปล้นทรัพย์ ศาลลงโทษความผิดที่พิจารณาได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 340 ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 2 กระทำผิดฐานรับของโจรตาม ป.อ. มาตรา 357 ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญ เมื่อจำเลยมิได้หลงต่อสู้ ศาลมีอำนาจลงโทษในความผิดฐานรับของโจรตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6299/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อแตกต่างสาระสำคัญในฟ้องกับการพิจารณา ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ ศาลต้องไม่ลงโทษเกินคำขอ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยจ้างหรือใช้ผู้มีชื่อให้ฆ่าผู้เสียหาย และผู้มีชื่อนั้นได้ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยว่าจ้าง ร.ไปฆ่าผู้เสียหายแต่ร. ไม่ทำตามที่จำเลยว่าจ้างคนร้ายที่ยิงผู้เสียหายไม่ใช่ผู้ที่จำเลยว่าจ้าง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องในสาระสำคัญ ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้และไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5465/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการลงโทษในชั้นฎีกา: ศาลฎีกาไม่สามารถเพิ่มโทษจำเลยเกินกว่าที่ศาลอุทธรณ์ตัดสิน หากโจทก์มิได้ฎีกาในประเด็นนั้น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยต่ำกว่าระวางโทษขั้นต่ำ ที่กฎหมายกำหนด เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจะลงโทษจำเลยทั้งสองหนักกว่าที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ได้เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบด้วยมาตรา 225.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4681/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ การพิพากษาลงโทษตามบทมาตราที่ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจพบว่าผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต อันเป็นความผิดตามกฎหมาย แต่จำเลยกลับข่มขืนใจให้ผู้เสียหายมอบเงินเพื่อละเว้นการจับกุม อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต คำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าว เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149 ในชั้นพิจารณาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงยุติแล้วว่า การกระทำของจำเลยมิใช่เป็นการแกล้งจับโดยผู้เสียหายไม่มีความผิดแล้วเรียกรับเงิน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 149 ดังนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงตามฟ้องนั้นโจทก์สืบสมแล้วและการที่จะถือว่าเป็นเรื่องอ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดหรือไม่ เป็นเรื่องพิจารณาจากฟ้อง คดีนี้ ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์อ้างบทมาตราความผิดตามบทเฉพาะมาตรา 148 แต่เมื่อปรากฏว่าตามคำบรรยายฟ้องและข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทเฉพาะมาตรา 149 จึงถือว่าโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิด ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า ซึ่งเมื่อเป็นความผิดตามบทเฉพาะแล้วก็ไม่ต้องปรับบทมาตรา 157 ที่เป็นบททั่วไปอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาโต้แย้งดุลพินิจศาลในการรับฟังพยานหลักฐาน และการลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ต่างจากที่โจทก์ฟ้อง
จำเลยฎีกาว่าศาลรับฟังแต่แผนที่เกิดเหตุกับคำเบิกความของพนักงานสอบสวนแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยกระทำโดยประมาทโดยไม่รับฟังพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์อื่นเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 จะขับรถเลี้ยวขวาเข้าซอยโดยไม่ใช้ความระมัดระวังตัดหน้ารถที่จำเลยที่ 2 ขับสวนมาใน ระยะใกล้จนเป็นเหตุชนกัน แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เลี้ยวรถก่อนถึงทางแยกเข้าซอยเพื่อจะขับเลาะ ไหล่ถนนแล้วเกิดเหตุชนกัน ดังนี้เมื่อการชนกันเกิดขึ้นเนื่องจากจำเลยที่ 1 ขับรถเลี้ยวขวาโดยไม่ระมัดระวังต่อรถในทางตรง ศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานขับรถโดยประมาทตามข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3382/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญาต้องระบุข้อเท็จจริงและฐานความผิดชัดเจน หากไม่ระบุ ศาลไม่สามารถลงโทษได้
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยมีไม้กฤษณาหรือไม้หอมแปรรูปอันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ข.ไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้นโจทก์หาได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าไม้กฤษณาหรือไม้หอมเป็นของป่าหวงห้ามด้วยไม่ทั้งคำขอท้ายฟ้องก็มิได้อ้างพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 29 ทวิ, 71 ทวิ แต่ประการใดกรณีจึงไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้เพราะมิได้กล่าวในฟ้องและไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง และวรรคสี่หาใช่เป็นเรื่องซึ่งโจทก์อ้างฐานความผิดหรือบทมาตราผิดตามวรรคห้าไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2407/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แม้ไม่ได้ฟ้องฐานบุกรุก แต่หากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์รวมถึงการบุกรุก ศาลลงโทษฐานบุกรุกได้ตามกฎหมาย
แม้โจทก์จะมิได้ระบุขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืนตาม ป.อ. มาตรา 364,365(3) แต่ความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืนโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ตามมาตรา 335(1)(3)(8) ที่โจทก์ฟ้อง โจทก์บรรยายการกระทำของจำเลย ซึ่งรวมเอาการบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน อันเป็นความผิดตามมาตรา 364,365(3) ได้อยู่ในตัวเองไว้ด้วย ทั้งความผิดตามมาตรา364,365(3) ยังมีโทษเบากว่าความผิดตามมาตรา 335(1)(3)(8)ที่โจทก์ฟ้อง เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายในเวลากลางคืนเช่นนี้ ศาลจึงลงโทษจำเลยตามมาตรา 364,365(3) ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานและบุกรุก: ศาลพิจารณาลงโทษฐานบุกรุกได้
จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อจะลักทรัพย์แต่ผู้เสียหายตื่นขึ้นมาพบจำเลยเสียก่อน จำเลยจึงทำการลักทรัพย์ไปไม่ตลอดการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานเวลากลางคืน โดยเข้าทางช่องทางที่ได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า และเป็นการเข้าไปในเคหสถานในความครอบครองของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควร ความผิดตามฟ้องรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวคือ ความผิดฐานลักทรัพย์และบุกรุก ศาลย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานบุกรุกตามที่พิจารณาได้ความ.