คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
วินิจฉัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 558 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 300/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านอำนาจสอบสวนต้องยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้น มิฉะนั้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การคัดค้านว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยไม่มีเขตอำนาจนั้น ต้องกล่าวอ้างไว้ในศาลชั้นต้น มิฉะนั้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 300/2501

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านอำนาจสอบสวนต้องยกขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้น หากมิได้ยกขึ้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
การคัดค้านว่าพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนโดยไม่มีเขตอำนาจนั้น ต้องกล่าวอ้างไว้ในศาลชั้นต้น มิฉะนั้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 811/2500

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับเนื่องจากทุนทรัพย์ไม่เกินเกณฑ์ และศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงตามสำนวนได้
โจทก์ตั้งทุนทรัพย์ ไว้ในฟ้อง 2,500 บาทมาในชั้นฎีกามีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แก้ไขใหม่ว่าทุนทรัพย์ไม่เกิน5,000 บาท ฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้ดั่งนี้ กฎหมายที่แก้ใหม่เป็นวิธีสบัญญัติ ใช้บังคับได้ทันที โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาเสมอไป หากพยานหลักฐานมีอย่างไรในสำนวนศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยตามนั้นได้เมื่อมีประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1692/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย และการไม่ตรงกับประเด็นฟ้อง
การวินิจฉัยข้อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์จะต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากคำพยานหลักฐานในท้องสำนวน แต่เรื่องนี้ศาลชั้นต้นยังหาได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยแล้ว และเรื่องจำเลยใช้สถานที่ประกอบการค้า ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยไม่ตรงตามข้อหาในชั้นฟ้องอุทธรณ์ เป็นการไม่ชอบ.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1541/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแบ่งที่ดินซ้ำ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการฟ้องใหม่ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ หากศาลยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นตามที่ฟ้องในคดีก่อน
เกี่ยวกับที่ดินแปลงเดียวกันทุกคดี
คดีแรกถึงที่สุดเพียงศาลชั้นต้น ซึ่งพิพากษาให้แบ่งที่ดินเฉพาะส่วนที่โจทก์จะได้รับตามพินัยกรรมข้อ 1. เพราะโจทก์ขอรับเพียงส่วนตามพินัยกรรมเท่านั้น
คดีที่ 2 ถึงที่สุดชั้นศาลอุทธรณ์ โดยให้ยกคำชี้ขาดของศาลชั้นต้นที่ชี้ขาดไว้ว่า โจทก์จำเลยปกครองที่พิพาทร่วมกัน
โจทก์จึงมาฟ้องขอแบ่งที่ดินซึ่งเป็นกองกลางตามพินัยกรรมข้อ 3. เช่นนี้ การฟ้องคดีใหม่นี้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีแรกและคดีที่ 2.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 81/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลพลเรือน: คดีร่วมกระทำผิด - ศาลวินิจฉัยจำเลยที่ 2 ไม่ผิดร่วม จึงไม่อำนาจพิจารณา
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมูลคดีในการไต่สวนมูลฟ้องว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ถือว่าศาลทั้งสองวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกัน ซึ่งตามลักษณะอุทธรณ์ฎีกาลักษณะ 2 ม.219 บัญญัติว่าห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในดคีซึ่งศาลเดิมและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง ดังนั้นคดีเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 โจทก์จึงฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้
ฟ้องทหารว่าสมคบกับพลเรือนกระทำผิดศาลไต่สวนแล้วได้ความว่าทหารกระทำผิดแต่ลำพังผู้เดียวดังนี้ศาลพลเรือนย่อมต้องจำหน่ายคดีที่ทหารถูกฟ้องนั้นเสียเพราะไม่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่บริวาร: ไม่เป็นการฟ้องซ้ำหากคดีก่อนศาลยังไม่ได้วินิจฉัยสถานะบริวาร
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่ผู้เช่าและบริวาร ศาลพิพากษาให้ผู้เช่ารื้อโรงเรือนออกจากที่พิพาทชั้นบังคับคดีบริวารไม่ยอมออก โจทก์ขอให้ศาลเรียกบริวารมาบังคับ จำเลยในคดีนี้ได้ร้องคัดค้านแทนสามี (ซึ่งโจทก์ในคดีนั้นอ้างว่าเป็นบริวาร) ว่าไม่ใช่บริวาร แล้วต่อมาจำเลยในคดีนี้ก็ได้ถอนคำร้องไปศาลคงพิจารณาไต่สวนพยานไปในชั้นบังคับคดีเฉพาะข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับบริวารคนอื่นๆ เท่านั้นคำสั่งของศาลชั้นบังคับคดีในคดีก่อนจึงไม่ผูกพันจำเลยในคดีนี้แต่อย่างไรโจทก์จึงมีสิทธินำคดีมาฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้โดยอ้างเหตุว่าเป็นบริวารได้ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 629/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องการขุดมันสำปะหลังในที่ดินโฉนดร่วม ศาลต้องฟังพยานทั้งสองฝ่ายเพื่อวินิจฉัยความผิด
ตามฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยตลอดจนข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันฟังได้ว่ามันสัมปะหลังที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยขุดลักเอาไปตามฟ้องนั้นปลูกไว้ในที่ดินมีโฉนดซึ่งมีชื่อของจำเลยและนางอัวมารดาผู้เสียหายซึ่งเป็นภรรยาจำเลยถือกรรมสิทธิร่วมกัน นางอัวตายแล้วผู้เสียหายถือว่าที่ดินเป็นมรดกตกได้แก่ผู้เสียหาย ส่วนมันสำปะหลังผู้เสียหายและจำเลยต่างเกี่ยงกันว่าตนเป็นผู้ปลูกเช่นนี้จะงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้อง โดยถือว่าจำเลยไม่มีเถยยะจิตเป็นโจรยังไม่ได้ มูลคดียังไม่พอวินิจฉัยชี้ชาดว่าจำเลยได้ทำผิดดังข้อหาหรือไม่จึงจำเป็นต้องฟังคำพยานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความก่อน.
เพราะเถียงกันว่าใครเป็นผู้ปลูกมันสำปะหลัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 629/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานลักทรัพย์: จำเป็นต้องรับฟังพยานทั้งสองฝ่ายเพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริง
ตามฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยตลอดจนข้อเท็จจริงที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันฟังได้ว่ามันสัมปะหลังที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยขุดลักเอาไปตามฟ้องนั้นปลูกไว้ในที่ดินมีโฉนดซึ่งมีชื่อของจำเลยและนางอัวมารดาผู้เสียหายซึ่งเป็นภรรยาจำเลยถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันนางอัวตายแล้วผู้เสียหายถือว่าที่ดินเป็นมรดกตกได้แก่ผู้เสียหาย ส่วนมันสัมปะหลังผู้เสียหายและจำเลยต่างเกี่ยงกันว่าตนเป็นผู้ปลูกเช่นนี้จะงดสืบพยานและพิพากษายกฟ้องโดยถือว่าจำเลยไม่มีเถยจิตเป็นโจรยังไม่ได้มูลคดียังไม่พอวินิจฉัยชี้ขาดว่าจำเลยได้ทำผิดดังข้อหาหรือไม่จึงจำเป็นต้องฟังคำพยานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การที่จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อเท็จจริงในชั้นอุทธรณ์ ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นใหม่ในชั้นฎีกา
จำเลยให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การว่าฟ้องของโจทก์ที่กล่าวว่าจำเลยโดยร่วมกันและแทนกันไม่แจ้งชัดว่าจะให้รับผิดฐานใดนั้นเป็นฟ้องเคลือบคลุมและว่าการซื้อสิ่งของมิได้มีกรรมการลงนามประทับตราตามข้อบังคับของบริษัทกิจการนั้นย่อมไม่ผูกพันบริษัท ข้อต่อสู้ดังกล่าวนี้เมื่อจำเลยอุทธรณ์ จำเลยเป็นแต่อัยการข้อเท็จจริงมิได้อุทธรณ์ปัญหา ข้อ ก.ม. ทั้งสองประการนี้ แต่มาในชั้นฎีกาจำเลยฎีกาปัญหาข้อ ก.ม.ทั้งสองประการนี้ด้วย ศาลฎีกาถือว่าปัญหาข้อ ก.ม.นี้จำเลยมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวมาแต่ขั้นอัยการดังนี้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้.
of 56