พบผลลัพธ์ทั้งหมด 493 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงโดยใช้อุบายหลอกลวงให้ส่งเงิน แต่กลับนำไปใช้ประโยชน์ส่วนตัว คดีไม่ขาดอายุความ
โจทก์จำเลยร่วมกันเช่าที่ดินมาปลูกตึกแถวและได้ตกลงรับผิดจ่ายค่าจ้างเหมาแยกกันตามส่วน ดังนี้เมื่อจำเลยใช้อุบายหลอกลวงให้โจทก์ส่งทรัพย์ให้แก่จำเลยโดยอ้างว่าผู้รับเหมาให้มารับแทน ซึ่งไม่เป็นความจริงเช่นนี้ แม้จำเลยจะได้นำเงินนั้นไปใช้จ่ายค่าประตูหน้าต่างแลเค่าแรงงานก่อสร้างตึกนั้นก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยเองไม่เกี่ยวแก่โจทก์ จำเลยต้องมีความผิดตามมาตรา 304
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงโดยใช้อุบายหลอกลวงรับเงินค่าก่อสร้างเพื่อประโยชน์ตนเอง แม้จะนำไปใช้จ่ายค่าก่อสร้างก็ไม่เป็นการชดใช้
โจทก์จำเลยร่วมกันเช่าที่ดินมาปลูกตึกแถวและได้ตกลงรับผิดจ่ายค่าจ้างเหมาแยกกันตามส่วน ดังนี้เมื่อจำเลยใช้อุบายหลอกลวงให้โจทก์ส่งทรัพย์ให้แก่จำเลย โดยอ้างว่า ผู้รับเหมาให้มารับแทน ซึ่งไม่เป็นความจริงเช่นนี้แม้จำเลยจะได้นำเงินนั้นไปใช้จ่ายค่าประตูหน้าต่างและค่าแรงงานก่อสร้างตึกนั้นก็เพื่อประโยชน์ของจำเลยเองไม่เกี่ยวแก่โจทก์ จำเลยต้องมีความผิดตามมาตรา 304
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1230/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำที่หลอกลวงเพื่อไม่คืนหลักฐานหนี้ ไม่เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง
โจทย์ฟ้องว่า โจทก์นำเงินไปชำระเงินกู้ จำเลยเพทุบายให้เอาสัญญากู้เผาไพ่ทิ้ง แต่จำเลยกลับเอาสัญญาอื่นอันไม่ใช่สัญญากู้มาเผาไฟแทน โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินไป แล้วจำเลยนำสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับจำเลยมาฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์เป็นซ้ำสองอีก ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ม.304 ดังนี้แม้จะเป็นความจริงก็เป็นการหลอกเพื่อไม่ให้ต้องคืนหลักฐานแห่งการกู้แก่โจทก์ต่างหาก การกระทำของจำเลยตามฟ้องยังไม่เป็นมูลความผิดฐานฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1230/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำที่หลอกลวงเพื่อไม่คืนหลักฐานการกู้ ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์นำเงินไปชำระเงินกู้ จำเลยเพทุบายให้เอาสัญญากู้เผาไฟทิ้ง แต่จำเลยกลับเอาสัญญาอื่นอันไม่ใช่สัญญากู้มาเผาไฟแทน โจทก์หลงเชื่อจึงมอบเงินไป แล้วจำเลยนำสัญญาที่โจทก์ทำไว้กับจำเลยมาฟ้องเรียกเงินกู้จากโจทก์เป็นซ้ำสองอีกขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 304 ดังนี้แม้จะเป็นความจริงก็เป็นการหลอกเพื่อไม่ให้ต้องคืนหลักฐานแห่งการกู้แก่โจทก์ต่างหาก การกระทำของจำเลยตามฟ้องยังไม่เป็นมูลความผิดฐานฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1472/2496 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมเอกสารราชการเพื่อหลอกลวงและกระทบความมั่นคงระหว่างประเทศ
จำเลยสมคบกันทำเอกสารปลอมขึ้นเป็นสำเนาหนังสือราชการของกระทรวงกลาโหม เป็นคำสั่งลับมาก ถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเทศไทย ขอให้เจรจาตอบข้อเสนอของกระทรวงกลาโหมสหภาพโซเวียตในเรื่องกิจการทหารและทางอาวุธ ซึ่งทางสหภาพโซเวียตจะให้ความช่วยเหลือและขอให้แจ้งข้อเสนอแนวทางนโยบายทางการเมืองของกระทรวงกลาโหมแห่งประเทศไทย เพื่อให้กระทรวงกลาโหมแห่งสหภาพโซเวียตทราบ โดยจำเลยได้ลงลายมือชื่อของรองผู้อำนวยการศึกษาและวิจัยกรมเสนาธิการกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ ปลอมลงในสำเนาเอกสารปลอมนั้น รับรองว่าเป็นสำเนาที่ถูกต้อง ความจริงเอกสารปลอมนั้น ไม่ใช่เอกสารของกระทรวงกลาโหม หากจำเลยคิดทำปลอมขึ้นเองทั้งนั้น แล้วทำการติดต่อกับชาวต่างประเทศเพื่อทำการขายเอกสารลับปลอมนั้นดังนี้ ย่อมเป็นความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 105 เบ็ญจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1155/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ข้อเท็จจริงในสัญญา: จำเลยต้องนำสืบเมื่ออ้างว่าถูกหลอกลวงเฉพาะบางส่วนของสัญญา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำหนังสือให้ไว้แก่โจทก์ว่าจะรื้อถอนอาคารออกไปจากที่ดินของโจทก์ภายในกำหนด โดยจำเลยยินยอมรับเงินค่ารื้อถอนเป็นเงินจำนวนหนึ่ง ครั้นเมื่อโจทก์ให้เงินจำเลยแล้ว และถึงกำหนดเวลาแล้ว จำเลยก็ไม่รื้อจึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยรับว่าได้ลงชื่อในสัญญาที่โจทก์อ้างจริง แต่เป็นเพราะถูกโจทก์หลอกลวงให้ลงชื่อโดยความจริงโจทก์จำเลยตกลงกันให้จำเลยรื้ออาคารเพียงส่วนน้อยเพื่อให้ได้ระดับกับห้องแถวที่ปลูกอยู่ข้างเคียง แล้วโจทก์ให้จำเลยลงนามในเอกสารโดยไม่อ่านข้อความให้จำเลยฟัง ดังนี้เป็นเรื่องจำเลยมิได้ปฏิเสธสัญญาที่โจทก์ฟ้องเสียทั้งหมด เป็นแต่กล่าวอ้างว่าไม่ถูกต้องเพียงบางส่วน เช่นนี้จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายนำสืบก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 999/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฉ้อโกง: การหลอกลวงเกี่ยวกับกรรมสิทธิในทรัพย์สินและการแสดงเจตนาที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
ฟ้องหาว่า จำเลยยักยอกทรัพย์ แต่มิได้ระบุวันเวลาที่กล่าวหา เป็นแต่ระบุเดือนปีที่กล่าวหาทั้งเดือน และไม่ได้บรรยายด้วยว่าจำเลยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรักษาหรือเก็บรักษาทรัพย์หรือจัดการทรัพย์อย่างใด ๆ นั้น ศาลย่อมไม่รับพิจารณาข้อหาฐานยักยอกทรัพย์
ฟ้องหาว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยเป็นเจ้าของตู้เย็น ขอขายให้โจทก์ ๆ หลงเชื่อรับซื้อไว้ ดังนี้ แม้จะมิได้กล่าวหาว่าหลงเชื่อว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยตามที่ใช้อุบายหลอกลวงนั้น คำว่าใช้อุบายหลอกลวงว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ ก็พอเข้าใจได้ว่า จำเลยเอาความเท็จมากล่าวว่าเป็นของจำเลย และเมื่อพิจารณาประกอบกับฟ้อง+++ ข้อหนึ่ง ที่ว่าโจทก์ไปที่ร้านค้าของจำเลย ปรากฎว่าสิ่งของทั้งหมดไม่ได้อยู่ในร้าน ถามจำเลยๆว่าของ++ เดิมจำเลยเช่ามาจากเจ้าของ++ เจ้าของเอาไปหมดแล้ว เป็นการแสดงว่า ของที่กล่าวไม่ใช่ของจำเลย แต่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าเป็นของจำเลย และขายให้โจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ศาลควรรับฟ้องไว้พิจารณาตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 304 ได้.
ฟ้องหาว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยเป็นเจ้าของตู้เย็น ขอขายให้โจทก์ ๆ หลงเชื่อรับซื้อไว้ ดังนี้ แม้จะมิได้กล่าวหาว่าหลงเชื่อว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยตามที่ใช้อุบายหลอกลวงนั้น คำว่าใช้อุบายหลอกลวงว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ ก็พอเข้าใจได้ว่า จำเลยเอาความเท็จมากล่าวว่าเป็นของจำเลย และเมื่อพิจารณาประกอบกับฟ้อง+++ ข้อหนึ่ง ที่ว่าโจทก์ไปที่ร้านค้าของจำเลย ปรากฎว่าสิ่งของทั้งหมดไม่ได้อยู่ในร้าน ถามจำเลยๆว่าของ++ เดิมจำเลยเช่ามาจากเจ้าของ++ เจ้าของเอาไปหมดแล้ว เป็นการแสดงว่า ของที่กล่าวไม่ใช่ของจำเลย แต่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าเป็นของจำเลย และขายให้โจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ศาลควรรับฟ้องไว้พิจารณาตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 304 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 999/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องยักยอกทรัพย์ต้องระบุรายละเอียดชัดเจน และการหลอกลวงขายของเป็นความผิดตามกฎหมาย
ฟ้องหาว่า จำเลยยักยอกทรัพย์ แต่มิได้ระบุวันเวลาที่กล่าวหา เป็นแต่ระบุเดือนปีที่กล่าวหาทั้งเดือน และไม่ได้บรรยายด้วยว่าจำเลยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลรักษาหรือเก็บรักษาทรัพย์หรือจัดการทรัพย์อย่างใดๆ นั้นศาลย่อมไม่รับพิจารณาข้อหาฐานยักยอกทรัพย์
ฟ้องหาว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยเป็นเจ้าของตู้เย็น ขอขายให้โจทก์ โจทก์หลงเชื่อรับซื้อไว้ ดังนี้ แม้จะมิได้กล่าวว่าหลงเชื่อว่าอย่างไรก็พอเข้าใจได้ว่าหลงเชื่อว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยตามที่ใช้อุบายหลอกลวงนั้น คำว่าใช้อุบายหลอกลวงว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ก็พอเข้าใจได้ว่า จำเลยเอาความเท็จมากล่าวว่าเป็นของจำเลย และเมื่อพิจารณาประกอบฟ้องอีกข้อหนึ่ง ที่ว่าโจทก์ไปที่ร้านค้าจำเลย ปรากฏว่าสิ่งของทั้งหมดไม่มีอยู่ในร้าน ถามจำเลยจำเลยว่าของเหล่านี้เดิมจำเลยเช่ามาจากเจ้าของ เจ้าของเอาไปหมดแล้ว เป็นการแสดงว่า ของที่กล่าวไม่ใช่ของจำเลย แต่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าเป็นของจำเลย และขายให้โจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ศาลควรรับฟ้องไว้พิจารณาตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 ได้
ฟ้องหาว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยเป็นเจ้าของตู้เย็น ขอขายให้โจทก์ โจทก์หลงเชื่อรับซื้อไว้ ดังนี้ แม้จะมิได้กล่าวว่าหลงเชื่อว่าอย่างไรก็พอเข้าใจได้ว่าหลงเชื่อว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยตามที่ใช้อุบายหลอกลวงนั้น คำว่าใช้อุบายหลอกลวงว่าจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ก็พอเข้าใจได้ว่า จำเลยเอาความเท็จมากล่าวว่าเป็นของจำเลย และเมื่อพิจารณาประกอบฟ้องอีกข้อหนึ่ง ที่ว่าโจทก์ไปที่ร้านค้าจำเลย ปรากฏว่าสิ่งของทั้งหมดไม่มีอยู่ในร้าน ถามจำเลยจำเลยว่าของเหล่านี้เดิมจำเลยเช่ามาจากเจ้าของ เจ้าของเอาไปหมดแล้ว เป็นการแสดงว่า ของที่กล่าวไม่ใช่ของจำเลย แต่จำเลยใช้อุบายหลอกลวงว่าเป็นของจำเลย และขายให้โจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ศาลควรรับฟ้องไว้พิจารณาตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 304 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2495
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฉ้อโกงโดยแสดงตนเท็จและหลอกลวงให้เชื่อว่าจะจัดตั้งบริษัท
จำเลยกล่าวเท็จให้ผู้อื่นจองหุ้นบริษัทหนึ่ง ซึ่งจำเลยอ้างตนว่าเป็นผู้อำนวยการบริษัท จนผู้อื่นเชื่อถือส่งเงินค่าจองหุ้นครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลย แต่จำเลยเพิ่งนำหนังสือบริคณห์สนธิไปจดทะเบียนภายหลังซึ่งคนอื่นๆ เข้าใจว่าจำเลยได้ตั้งเป็นบริษัทแล้ว และต่อจากนั้นจำเลยก็มิได้ดำเนินการต่อไปให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อจัดตั้งบริษัทให้เป็นนิติบุคคลขึ้น กิจการที่จำเลยดำเนินอยู่ไม่มีอะไร และศาลฟังได้ว่าจำเลยมีแผนการจะฉ้อโกงมาแต่ต้น จำเลยตั้งบริษัทขึ้นเป็นพิธีบังหน้าเพื่อการทุจริตของจำเลยเท่านั้น ดังนี้ จำเลยย่อมมีความผิดฐานฉ้อโกง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 702/2495 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหลอกลวงเพื่อเอาเงินโดยอ้างหนี้สินที่ไม่เป็นความจริง เป็นกรณีละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหาย
เอาความเท็จไปพูดหลอกลวงเขาว่า เจ้าหนี้ของตนเร่งรัดหนี้สินจึงขอเอาเงินจากเขาไปชำระแก่เจ้าหนี้เพื่อรับเอาโฉนดที่ดินคืนมาแล้วจะมาทำจำนองไว้แก่เขา เขาหลงเชื่อมอบเงินให้ไป ชำระหนี้สินจนได้รับโฉนดคืนมามอบไว้แก่เขาแล้ว แต่ไม่ยอมไปทำสัญญาจำนองให้เขาตามที่พูดไว้ ดังนี้ เป็นเรื่องกรณีละเมิด ต้องใช้สินไหมทดแทนให้แก่เขาตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 420