พบผลลัพธ์ทั้งหมด 469 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายของบิดาในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
บุตรโจทก์ถูกรถยนต์ชนได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์ซึ่งเป็นบิดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมมีหน้าที่รักษาพยาบาล เมื่อต้องเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปแล้ว จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จ่ายไป ซึ่งเป็นค่าเสียหายส่วนตัวโดยตรงได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรซึ่งถูกรถยนต์ของจำเลยชนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นส่วนตัว กับค่าเสียหายของบุตรโจทก์ที่ถูกรถยนต์ชนจนเสียขาทั้งสองข้าง ทำให้ขาดความสำราญไปตลอดชีวิต และเสียความสามารถในการประกอบการงานในอนาคต เป็นคำฟ้องแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุในช่องคู่ความว่า โจทก์ได้ฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรในตอนแรกก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องในตอนต่อไปว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร จึงถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวของโจทก์และในฐานะที่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรโจทก์ด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรซึ่งถูกรถยนต์ของจำเลยชนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นส่วนตัว กับค่าเสียหายของบุตรโจทก์ที่ถูกรถยนต์ชนจนเสียขาทั้งสองข้าง ทำให้ขาดความสำราญไปตลอดชีวิต และเสียความสามารถในการประกอบการงานในอนาคต เป็นคำฟ้องแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุในช่องคู่ความว่า โจทก์ได้ฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรในตอนแรกก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องในตอนต่อไปว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร จึงถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวของโจทก์และในฐานะที่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1145/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของบิดาในการเรียกค่าเสียหายจากอุบัติเหตุที่บุตรได้รับบาดเจ็บ ทั้งในฐานะตนเองและผู้แทนโดยชอบธรรม
บุตรโจทก์ถูกรถยนต์ชนได้รับบาดเจ็บสาหัส โจทก์ซึ่งเป็นบิดาและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมย่อมมีหน้าที่รักษาพยาบาล เมื่อต้องเสียค่าใช้จ่ายต่างๆ ไปแล้ว จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายที่จ่ายไป ซึ่งเป็นค่าเสียหายส่วนตัวโดยตรงได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรซึ่งถูกรถยนต์ของจำเลยชนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นส่วนตัว กับค่าเสียหายของบุตรโจทก์ที่ถูกรถยนต์ชนจนเสียขาทั้งสองข้าง ทำให้ขาดความสำราญไปตลอดชีวิต และเสียความสามารถในการประกอบการงานในอนาคต เป็นคำฟ้องแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุในช่องคู่ความว่า โจทก์ได้ฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรในตอนแรกก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องในตอนต่อไปว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร จึงถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวของโจทก์และในฐานะที่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรโจทก์ด้วย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรซึ่งถูกรถยนต์ของจำเลยชนได้รับบาดเจ็บสาหัส ขอให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับเป็นส่วนตัว กับค่าเสียหายของบุตรโจทก์ที่ถูกรถยนต์ชนจนเสียขาทั้งสองข้าง ทำให้ขาดความสำราญไปตลอดชีวิต และเสียความสามารถในการประกอบการงานในอนาคต เป็นคำฟ้องแสดงชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 แล้ว แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุในช่องคู่ความว่า โจทก์ได้ฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรในตอนแรกก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องในตอนต่อไปว่า โจทก์เป็นบิดาและผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตร จึงถือได้ว่าโจทก์ฟ้องจำเลยในฐานะส่วนตัวของโจทก์และในฐานะที่เป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรโจทก์ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถแซงและการกำหนดความรับผิดชอบของผู้ขับขี่เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางถนน
จำเลยที่ 2 ขับรถแซงรถจำเลยที่ 3 ขึ้นมา ขณะรถจำเลยที่ 3 และที่ 1 ใกล้จะแล่นสวนกันและหลบไม่พ้นรถของจำเลยที่ 1 ซึ่งถูกเฉี่ยวเสียหลักขวางถนนและถูกรถจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่สามารถหยุดได้ทันพุ่งเข้าชนเป็นเหตุให้คนบนรถจำเลยที่ 1 ตกลงมาถึงตายและบาดเจ็บสาหัส เช่นนี้ ถือว่าการตายและบาดเจ็บสาหัสเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1011/2503
พฤติการณ์อันเข้าลักษณะเป็นประมาท หากเข้าลักษณะเป็นการฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 ด้วย ถือว่าเป็นกรรมอันเดียวกันทั้งหมด เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทไม่เรียกว่าเป็นความผิดหลายกรรม
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 มาตรา 9 บัญญัติให้รถเดินทางด้านซ้ายของทางหาได้บัญญัติถึงกับให้เดินชิดขอบซ้ายของทางอันจะถือเป็นการฝ่าฝืนไม่
พฤติการณ์อันเข้าลักษณะเป็นประมาท หากเข้าลักษณะเป็นการฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 ด้วย ถือว่าเป็นกรรมอันเดียวกันทั้งหมด เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทไม่เรียกว่าเป็นความผิดหลายกรรม
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 มาตรา 9 บัญญัติให้รถเดินทางด้านซ้ายของทางหาได้บัญญัติถึงกับให้เดินชิดขอบซ้ายของทางอันจะถือเป็นการฝ่าฝืนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 534/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถแซงและผลกระทบต่อการเกิดอุบัติเหตุ ศาลฎีกาตัดสินว่าความประมาทของจำเลยที่ 2 เป็นเหตุโดยตรง
จำเลยที่ 2 ขับรถแซงรถจำเลยที่ 3 ขึ้นมา ขณะรถจำเลยที่ 3 และที่ 1 ใกล้จะแล่นสวนกันและหลบไม่พ้น.รถของจำเลยที่ 1 ซึ่งถูกเฉี่ยวเสียหลักขวางถนนและถูกรถจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่สามารถหยุดได้ทัน.พุ่งเข้าชน.เป็นเหตุให้คนบนรถจำเลยที่ 1 ตกลงมาถึงตายและบาดเจ็บสาหัส. เช่นนี้ ถือว่าการตายและบาดเจ็บสาหัสเป็นผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียวตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1011/2503.
พฤติการณ์อันเข้าลักษณะเป็นประมาท หากเข้าลักษณะเป็นการฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 ด้วย. ถือว่าเป็นกรรมอันเดียวกันทั้งหมด. เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท.ไม่เรียกว่าเป็นความผิดหลายกรรม.
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 มาตรา 9 บัญญัติให้รถเดินทางด้านซ้ายของทาง.หาได้บัญญัติถึงกับให้เดินชิดขอบซ้ายของทางอันจะถือเป็นการฝ่าฝืนไม่.
พฤติการณ์อันเข้าลักษณะเป็นประมาท หากเข้าลักษณะเป็นการฝ่าฝืนตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 ด้วย. ถือว่าเป็นกรรมอันเดียวกันทั้งหมด. เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท.ไม่เรียกว่าเป็นความผิดหลายกรรม.
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 มาตรา 9 บัญญัติให้รถเดินทางด้านซ้ายของทาง.หาได้บัญญัติถึงกับให้เดินชิดขอบซ้ายของทางอันจะถือเป็นการฝ่าฝืนไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 439/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทขับรถกินทาง-แซงรถ: ศาลฎีกาเน้นพฤติกรรมหลักที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยประมาทโดยแซงรถจักรยานและจักรยานยนต์ข้างหน้าเป็นเหตุให้ต้องวิ่งรถเลยกึ่งกลางถนนมาแล้วเกิดชนกันขึ้น ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของฟ้องว่าประมาท และเป็นต้นเหตุใกล้ชิดของการที่รถชนกันขึ้นอยู่ที่ขับรถกินทางไปทางขวาจนเกินทางของตน มิใช่การแซงรถ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้วาจำเลยขับรถกินทางไปทางขวา เกินกว่ากึ่งกลางถนนไปชนรถที่จำเลยอีกคนหนึ่งขับสวนมา แม้จะไม่มีการแซงรถก็ตรงกับฟ้องและความประสงค์ให้ลงโทษแล้ว ไม่ถือว่าโจทก์สืบไม่สมฟ้อง และข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาไม่ใช่เป็นเรื่องของโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษ
รถยนต์บรรทุกของ ถ้าไม่รับจองบรรทุกก็เป็นรถบรรทุกส่วนบุคคล ไม่ใช่รถยนต์สาธารณะ จำเลยมีใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลจึงขับรถดังกล่าวนี้ได้ ไม่มีความผิด
รถยนต์บรรทุกของ ถ้าไม่รับจองบรรทุกก็เป็นรถบรรทุกส่วนบุคคล ไม่ใช่รถยนต์สาธารณะ จำเลยมีใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคลจึงขับรถดังกล่าวนี้ได้ ไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภาวะตกตะลึงกลัวและข้อยกเว้นความประมาท: การตัดสินความรับผิดในอุบัติเหตุจากเหตุการณ์ข่มขู่
จำเลยเป็นหญิงอายุ 28 ปี ขับรถมาคนเดียว ขณะหยุดรถรอสัญญาณไฟเมื่อเวลา 21 นาฬิกาได้มีคนร้ายเปิดประตูรถเข้าไปนั่งคู่ และใช้ระเบิดมือขู่ให้ขับรถไป จำเลยตกใจขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟ ออกไปชนรถที่แล่นสวนมาโดยไม่ได้เจตนาตามพฤติการณ์เช่นนี้ จะว่าการชนเกิดเพราะความประมาทของจำเลยไม่ได้ เพราะบุคคลที่อยู่ ในภาวะตกตะลึงกลัวจะให้มีความระมัดระวังเช่นบุคคลปกติหาได้ไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำละเมิด จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด ในความเสียหายที่รถชนกันนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 762/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขับรถประมาทแซงในที่คับขัน ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ผู้ขับรถต้องรับผิดตามกฎหมายอาญาและจราจร
จำเลยขับรถยนต์ประจำทาง ผู้เสียหายขับรถจักรยานยนต์ แล่นตามหลังไปทางเดียวกัน รถของผู้เสียหายแล่นอยู่ในช่องเดินรถด้านขวา ส่วนรถของจำเลยแล่นอยู่ในช่องเดินรถด้านซ้าย รถของจำเลยได้ผ่านรถประจำทางที่จอดอยู่ออกไปทางช่องรถด้านขวาอย่างกระทันหัน โดยไม่เดินรถให้ช้าลงพอควร และไม่ได้ให้สัญญาณแตรตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 13, 32 รถของผู้เสียหายที่แล่นตามหลังไม่สามารถหลบหลีกได้ เป็นเหตุให้กะบังหน้ารถของผู้เสียหายด้านซ้ายกระแทกกันชนด้านขวาของรถของจำเลย รถของผู้เสียหายแฉลบล้มลง ตัวผู้เสียหายกระเด็นไปถูกล้อรถยนต์ซึ่งแล่นสวนทางมาดันครูดไปตามถนน ทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ดังนี้ การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 270/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าทดแทนจากอุบัติเหตุจากการทำงานจะหมดไปหากไม่ยื่นคำร้องภายใน 90 วันตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินค่าทดแทนตลอดจนจำนวนเงินค่าทดแทน ข้อ14 เป็นหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินทดแทนซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีอำนาจกำหนดขึ้นได้ ตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 ข้อ 3 วรรคสอง และมีผลบังคับอย่างกฎหมาย
เมื่อโจทก์ไม่ยื่นคำร้องขอรับเงินค่าทดแทนต่อเจ้าพนักงานภายในกำหนด90 วัน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยนี้ ย่อมหมดสิทธิเรียกร้องเงินค่าทดแทน(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2510)
เมื่อโจทก์ไม่ยื่นคำร้องขอรับเงินค่าทดแทนต่อเจ้าพนักงานภายในกำหนด90 วัน ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยนี้ ย่อมหมดสิทธิเรียกร้องเงินค่าทดแทน(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1476/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: เจ้าของรถมีสิทธิเรียกร้องจากผู้ขับขี่และคู่กรณี
นายพีรพลขับรถโจทก์ไปตามถนนและเกิดชนกันขึ้นกับรถของจำเลยแม้หากศาลฎีกาจะฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาว่า เหตุที่รถชนขึ้นเนื่องจากจำเลยและนายพีรพลต่างขับรถยนต์ด้วยความประมาททั้งสองฝ่ายก็ตามแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นก็มิใช่เพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์ผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยแต่ประการใดทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องร่วมรับผิดกับนายพีรพลตามกฎหมาย ในผลที่นายพีรพลขับรถชนโดยประมาทแต่ประการใดด้วย โจทก์ในฐานะเจ้าของรถยนต์คันที่นายพีรพลขับจึงย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดได้ทั้งจากนายพีรพลและจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และ 424 เพราะทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างละเมิดโจทก์ด้วยกัน ศาลย่อมพิพากษาแบ่งให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ตามสมควรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1476/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: ผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากผู้ประมาททั้งสองฝ่าย
นายพีรพลขับรถโจทก์ไปตามถนนและเกิดชนกันขึ้นกับรถของจำเลยแม้หากศาลฎีกาจะฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาว่า เหตุที่รถชนกันขึ้นเนื่องจากจำเลยและนายพีรพลต่างขับรถยนต์ด้วยความประมาททั้งสองฝ่ายก็ตามแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นก็มิใช่เพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์ผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยแต่ประการใด ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องร่วมรับผิดกับนายพีรพลตามกฎหมาย ในผลที่นายพีรพลขับรถชนโดยประมาทแต่ประการใดด้วย โจทก์ในฐานะเจ้าของรถยนต์คันที่นายพีรพลขับจึงย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดได้ทั้งจากนายพีรพลและจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และ 424 เพราะทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างละเมิดโจทก์ด้วยกัน ศาลย่อมพิพากษาแบ่งให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ตามสมควรได้