พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,178 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1235/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อระบุให้ผู้เช่าซื้อรับผิดชอบค่าเช่าซื้อครบถ้วนแม้รถสูญหาย ข้อตกลงไม่ขัดกฎหมาย
สัญญาเช่าซื้อระบุว่า ในกรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายผู้เช่าซื้อจะต้องชำระค่าเช่าซื้อทั้งสิ้นจนครบ หมายความว่าผู้เช่าซื้อจะต้องชำระราคารถยนต์ที่เช่าซื้อที่ยังไม่ได้ชำระตามสัญญาจนครบ เพราะมิได้ระบุให้ผู้เช่าซื้อผ่อนชำระเป็นงวด ๆดังกรณีที่ทรัพย์ที่เช่าซื้อไม่สูญหาย และข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 567 หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน จึงไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงสัญญากู้ก่อนกำหนด & การส่งหนังสือบอกกล่าวถึงกรรมการบริษัท: ผลผูกพันทางกฎหมาย
การร้องขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 นั้น ทำได้เฉพาะในศาลชั้นต้นเท่านั้น แม้ข้อตกลงในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้เงินที่ให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนก่อนหนี้ถึงกำหนดชำระ จะทำให้จำเลยที่ 1 เสียเปรียบต่อโจทก์ แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของจำเลยที่ 1เอง หาเกี่ยวกับสังคมหรือประชาชนไม่ ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของบริษัทจำเลยที่ 1 แม้จำเลยที่ 2จะมีที่อยู่แยกต่างหากจากภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีหลักแหล่งที่ทำการเป็นปกติแห่งเดียวกับจำเลยที่ 1ดังนั้น การที่โจทก์ส่งหนังสือบอกกล่าวไปยังภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ถือว่าจำเลยที่ 2 ทราบคำบอกกล่าวแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงหลังร้องขัดทรัพย์ไม่เป็นประนีประนอมยอมความ สิทธิในการขอกันส่วนยังคงมี
แม้ในชั้นร้องขัดทรัพย์ผู้ร้องจะตกลงกับโจทก์ว่า ผู้ร้องจะชำระหนี้แทนจำเลยภายในเวลาที่กำหนดเพื่อให้โจทก์ถอนการยึดทรัพย์ที่ร้องขัดทรัพย์และในที่สุดผู้ร้องก็ผิดนัดไม่นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวก็หาเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 13 ไม่ เพราะการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันตามบทกฎหมายดังกล่าวต้องเป็นการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีโดยมิได้มีการถอนคำฟ้อง เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ถอนคำร้องขัดทรัพย์เสียแล้ว จึงไม่มีคำฟ้องที่จะทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความอีกต่อไป ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการประนีประนอมยอมความ แต่เป็นเพียงข้อแถลงของคู่ความประกอบคำร้องขัดทรัพย์เพื่อให้ศาลพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าวเท่านั้น ทั้งศาลชั้นต้นสั่งเพียงว่า อนุญาตให้ถอนคำร้องขัดทรัพย์ได้ และจำหน่ายคดีจากสารบบความ มิได้สั่งหรือพิพากษาตามที่ผู้ร้องตกลงกับโจทก์แต่อย่างใด ตามคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ ผู้ร้องยังสงวนสิทธิที่ผู้ร้องมีเหนือทรัพย์สินที่โจทก์นำยึด และตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นระบุว่า"...วันนี้ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์และแถลงว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ที่ยึดอีกต่อไป ไม่ร้องขัดทรัพย์อีก..." และศาลได้ขีดฆ่าคำว่า "ไม่ขอร้องกันส่วนด้วย"ออก แสดงว่าผู้ร้องจะไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินเฉพาะการร้องขัดทรัพย์เท่านั้น แต่ยังติดใจที่จะขอกันส่วนอยู่ ดังนั้น สิทธิของผู้ร้องในการขอกันส่วนจึงยังมีอยู่ และการใช้สิทธิของผู้ร้องหาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ไม่เพราะผู้ร้องได้แสดงเจตนาสงวนสิทธิไว้แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงหลังถอนฟ้องไม่เป็นประนีประนอมยอมความ สิทธิในการขอกันส่วนยังคงอยู่
การตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ต้องเป็นการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี โดยมิได้มีการถอนฟ้อง หากคู่ความตกลงกันหลังจากถอนฟ้องแล้วย่อมไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะไม่มีคำฟ้องที่จะทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันอีก ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงข้อแถลงของคู่ความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4836/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงคืนเงินหลังหมั้น ไม่ถือเป็นสินสอด
การที่มีข้อตกลงระหว่างฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยว่าเงิน100,000 บาท ฝ่ายจำเลยจัดหามาเพื่อแสดงในพิธีหมั้นแล้วฝ่ายโจทก์จะคืนให้ฝ่ายจำเลย เงินจำนวนดังกล่าวจึงไม่ใช่สินสอด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4836/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงคืนเงินหลังหมั้นล้มเหลว ไม่ถือเป็นสินสอด
การที่มีข้อตกลงระหว่างฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยว่าเงิน100,000 บาท ฝ่ายจำเลยจัดหามาเพื่อแสดงในพิธีหมั้นแล้วฝ่ายโจทก์จะคืนให้ฝ่ายจำเลย เงินจำนวนดังกล่าวจึงไม่ใช่สินสอด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงการชำระค่าเช่าระหว่างพิจารณาคดี ไม่สามารถใช้บังคับขับไล่ได้ก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย โจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าจำเลยไม่มีสิทธิในอาคารและที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องให้ขับไล่ แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์จำเลยตกลงกันว่า จำเลยจะนำค่าเช่าหรือค่าเสียหายมาวางศาลทุกเดือนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าหากจำเลยผิดนัดไม่นำเงินค่าเช่ามาวางศาลในเดือนใด จำเลยยินยอมให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับเงินค่าเช่าดังกล่าว และบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทในคดีนี้ได้ทันทีก็ตาม แต่เมื่อโจทก์จำเลยได้ตกลงกันให้ถือเอาคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่งมาเป็นข้อแพ้ชนะกัน และเมื่อคดีที่คู่ความท้ากันยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แม้จำเลยจะผิดนัด โจทก์จะมาขอให้ศาลออกคำบังคับในคดีนี้หาได้ไม่ เพราะหากจำเลยต้องถูกบังคับให้ออกจากอาคารและที่ดินพิพาทกับต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ก็มีผลเท่ากับโจทก์ชนะคดีในประเด็นที่พิพาทกันนั่นเอง ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการคุ้มครองประโยชน์คู่ความในระหว่างพิจารณา โจทก์จึงนำข้อตกลงดังกล่าวมาบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงระหว่างคู่ความในการฟ้องขับไล่: ศาลไม่อาจบังคับคดีก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอื่น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย โจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าจำเลยไม่มีสิทธิในอาคารและที่ดินพิพาทที่โจทก์ฟ้องให้ขับไล่ แม้ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์จำเลยตกลงกันว่า จำเลยจะนำค่าเช่าหรือค่าเสียหายมาวางศาลทุกเดือนจนกว่าคดีจะถึงที่สุด ถ้าหากจำเลยผิดนัดไม่นำเงินค่าเช่ามาวางศาลในเดือนใด จำเลยยินยอมให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับเงินค่าเช่าดังกล่าว และบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทในคดีนี้ได้ทันทีก็ตามแต่เมื่อโจทก์จำเลยได้ตกลงกันให้ถือเอาคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งอีกเรื่องหนึ่งมาเป็นข้อแพ้ชนะกัน และเมื่อคดีที่คู่ความท้ากันยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด แม้จำเลยจะผิดนัดโจทก์จะมาขอให้ศาลออกคำบังคับในคดีนี้หาได้ไม่ เพราะหากจำเลยต้องถูกบังคับให้ออกจากอาคารและที่ดินพิพาทกับต้องชดใช้ ค่าเสียหายให้โจทก์ ก็มีผลเท่ากับโจทก์ชนะคดีในประเด็นที่พิพาทกันนั่นเอง ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับวิธีการคุ้มครองประโยชน์คู่ความในระหว่างพิจารณาโจทก์จึงนำข้อตกลงดังกล่าวมาบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงการวางค่าเช่าเพื่อบังคับคดีขับไล่: ศาลไม่ออกคำบังคับจนกว่าคดีถึงที่สุด
คู่ความตกลงกันว่า จำเลยจะนำค่าเช่าหรือค่าเสียหายมาวางศาลทุกเดือนจนกว่าคดีถึงที่สุด หากจำเลยผิดนัดจำเลยยอมให้โจทก์มีสิทธิบังคับคดีเกี่ยวกับเงินค่าเช่าดังกล่าวและบังคับคดีออกจากอาคารและที่ดินพิพาทได้ทันที ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงเกี่ยวด้วยวิธีการคุ้มครองประโยชน์คู่ความในระหว่างพิจารณาโจทก์จะนำข้อตกลงดังกล่าวมาบังคับให้จำเลยออกจากอาคารและที่ดินพิพาทไม่ได้เพราะคดีฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายโจทก์จะต้องพิสูจน์ว่าจำเลยไม่มีสิทธิในอาคารและที่ดินที่โจทก์ฟ้องให้ขับไล่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4474/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงฟ้องคดีและผลผูกพันต่อผู้ค้ำประกัน: เขตอำนาจศาลและหนี้ไม่อาจแบ่งแยกได้
ข้อตกลงที่ให้โจทก์ฟ้องคดีแก่จำเลยที่ 1 ผู้กู้ต่อศาลแพ่ง ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผู้ค้ำประกันแม้ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม แต่มิได้ตกลงในการฟ้องคดีนั้นด้วย และแม้จะเป็นหนี้ซึ่งมูลความแห่งคดีไม่อาจแบ่งแยกจากกันได้ ก็ไม่ต้องด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 5 วรรคสอง เดิม ที่ใช้อยู่ในขณะยื่นคำฟ้องเพราะจำเลยที่ 1 มิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลแพ่งตามมาตรา 4 (2) เดิม โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 รวมมากับจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งไม่ได้