คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกาต้องห้าม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1458/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสนอขอเป็นผู้จัดการมรดกเพิ่มเติมหลังศาลกำหนดประเด็นแล้ว ถือเป็นการไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทำให้ฎีกาต้องห้าม
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านและขอเป็นผู้จัดการมรดกเองหรือเป็นร่วมกับผู้ร้อง แล้วผู้คัดค้านได้ขอถอนคำร้องคัดค้านนั้นโดยอ้างว่าจะไปยื่นคำร้องใหม่ เมื่อศาลอนุญาตแล้ว คำร้องคัดค้านดังกล่าวก็หมดไป ต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องเข้ามาใหม่ว่าผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นสั่งกำหนดประเด็นไว้เพียงว่า ผู้ร้องสมควรเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ผู้คัดค้านมิได้คัดค้านอย่างใด จนเมื่อสืบพยานผู้ร้องไปหมดแล้ว ผู้คัดค้านจึงยื่นคำร้องคัดค้านเพิ่มเติมของเป็นผู้จัดการมรดกด้วย ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต แล้วพิพากษาตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ตั้งประเด็นว่าผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่นั้นไม่ชอบผู้คัดค้านมีพยานหลักฐานแสดงว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรของผู้ร้องกับผู้ตาย ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเรื่องนี้ด้วย และให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์สั่งยกอุทธรณ์โดยเหตุที่ผู้คัดค้านมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอเพิ่มเติมคำคัดค้านของจำเลย หรืออุทธรณ์คัดค้านในเนื้อหาแห่งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ปัญหาที่ผู้คัดค้านขอร่วมเป็นผู้จัดการมรดกมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ผู้คัดค้านฎีกาต่อมาจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้และยกฎีกาเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1458/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยถูกยกขึ้นในศาลล่าง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านและขอเป็นผู้จัดการมรดกเองหรือเป็นร่วมกับผู้ร้องแล้วผู้คัดค้านได้ขอถอนคำร้องคัดค้านนั้นโดยอ้างว่าจะไปยื่นคำร้องใหม่ เมื่อศาลอนุญาตแล้ว คำร้องคัดค้านดังกล่าวก็หมดไปต่อมาผู้คัดค้านยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาใหม่ว่าผู้ร้องไม่สมควรเป็นผู้จัดการมรดก ศาลชั้นต้นสั่งกำหนดประเด็นไว้เพียงว่า ผู้ร้องสมควรเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ ผู้คัดค้านมิได้คัดค้านอย่างใด จนเมื่อสืบพยานผู้ร้องไปหมดแล้วผู้คัดค้านจึงยื่นคำร้องคัดค้านเพิ่มเติมขอเป็นผู้จัดการมรดกด้วย ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต แล้วพิพากษาตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกผู้คัดค้านอุทธรณ์ว่า การที่ศาลชั้นต้นไม่ตั้งประเด็นว่าผู้คัดค้านสมควรเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่นั้นไม่ชอบ ผู้คัดค้านมีพยานหลักฐานแสดงว่าผู้คัดค้านเป็นบุตรของผู้ร้องกับผู้ตาย ขอให้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเรื่องนี้ด้วย และให้ผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกร่วมกับผู้ร้องศาลอุทธรณ์สั่งยกอุทธรณ์โดยเหตุที่ผู้คัดค้านมิได้อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องขอเพิ่มเติมคำคัดค้านของจำเลย หรืออุทธรณ์คัดค้านในเนื้อหาแห่งคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังนี้ปัญหาที่ผู้คัดค้านขอร่วมเป็นผู้จัดการมรดกมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ผู้คัดค้านฎีกาต่อมาจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้และยกฎีกาเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1317/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: คดีขับไล่จากอสังหาริมทรัพย์ที่อาจให้เช่าได้ไม่เกิน 5,000 บาท หลังพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518
ฟ้องเรื่องละเมิดว่า จำเลยทั้งสองซึ่งไม่เคยเช่าห้องพิพาทของโจทก์มาก่อน ได้บังอาจร่วมกันบุกรุกเข้ามาในที่ดินชั้นล่างของซากห้องแถวซึ่งถูกไฟไหม้ของโจทก์เพื่อทำการค้า เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ กับมีคำขอบังคับจำเลย ดังนี้ ฟ้องโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้ว หาเคลือบคลุมไม่
การพิจารณาว่าเป็นฎีกาต้องห้ามหรือไม่ ต้องพิจารณาตามกฎหมายซึ่งใช้บังคับในขณะยื่นฎีกา จำเลยยื่นฎีกาในวันที่ 18 เมษายน 2518 อันเป็นเวลาที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 ใช้บังคับแล้วเมื่อเป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยในกรณีละเมิดออกจากที่ดินและห้องแถวของโจทก์ ซึ่งตามฟ้องเรียกค่าเสียหายเดือนละ 2,100 บาท จำเลยให้การว่าค่าเสียหายไม่เกินเดือนละ 30 บาท แสดงว่าในขณะยื่นคำฟ้องอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละห้าพันบาท จำเลยจึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2651/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงโทษกักขังเป็นโทษจำคุกรอการลงโทษไม่ถือเป็นการเพิ่มเติมโทษ และฎีกาคัดค้านดุลพินิจศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาต้องห้าม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 5 วัน ปรับ 200บาทโทษจำคุกเปลี่ยนเป็นกักขัง จำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1ปี โดยไม่ลงโทษกักขังแทนจำคุกนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เป็นการกำหนดโทษจำคุกโดยมีเงื่อนไขให้เป็นคุณแก่จำเลย เพื่อให้จำเลยไม่ต้องรับโทษกักขังไม่เป็นการเพิ่มเติมโทษอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
ฎีกาโจทก์ที่ขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นฎีกาคัดค้านดุลพินิจในการวางโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 (ปัญหาข้อแรกตัดสินโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 13/2517)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1460/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ: ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นเรื่องการเพิกถอนใบอนุญาต โจทก์ฎีกา แต่ฎีกาต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 390 กระทงหนึ่งจำคุก 15 วัน และตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกอีกกระทงหนึ่ง จำคุก 2 เดือน กับให้ถอนใบอนุญาตขับรถของจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะให้ยกคำขอให้ถอนใบอนุญาตขับรถของจำเลยเสีย โจทก์ฎีกาคัดค้านดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ที่ไม่ถอนใบอนุญาตขับรถ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ฟังแล้ว
คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ออกเช็คที่พิพาทให้โจทก์ไว้เป็นการชำระค่าเช่าโฉนดที่ดิน เพื่อนำไปประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ธนาคาร จำเลยฎีกาว่ามูลหนี้ตามเช็คที่พิพาทต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องเพราะเป็นหนี้ที่เกิดจากการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนี้ เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้ฟังมา จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้น-อุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว คดีเช็ค
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาจำคุกจำเลย 4 เดือน ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยออกเช็คให้โจทก์เป็นการชำระค่าเช่าโฉนดที่ดิน จำเลยฎีกาว่ามูลหนี้ตามเช็คต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องเพราะเป็นหนี้ที่เกิดจากการเช่าอสังหาริมทรัพย์.ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด จึงเป็นฎีกาที่โต้แย้งข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 542/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดทุนทรัพย์ฟ้องคดีครอบครองที่ดินแยกสำนวน – ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์กล่าวในฟ้องชัดเจนว่า จำเลยแต่ละคนเข้ามาอาศัยที่ดินโจทก์ทำกินเป็นส่วนสัดตามแผนที่ท้ายฟ้องโจทก์โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย และโจทก์ก็ยังตีราคาที่ดินแต่ละส่วนที่จำเลยอาศัยมาด้วย จำเลยทั้งหมดจึงมิได้มีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี โจทก์ชอบที่จะยื่นฟ้องจำเลยมาคนละสำนวนการที่โจทก์รวมฟ้องมาในสำนวนเดียวกัน และศาลชั้นต้นยอมรับฟ้องโจทก์ไว้ ไม่ทำให้สิทธิของโจทก์มีมากกว่าที่ยื่นฟ้องแยกกันมาเป็นแต่ละสำนวน
โจทก์ฟ้องจำเลยร่วมกันมา แต่คดีโจทก์สำหรับจำเลยแต่ละคนมีทุนทรัพย์เพียงสำหรับจำเลยที่ 1 จำนวน 1,000 บาท จำเลยที่ 2จำนวน 2,500 บาท จำเลยที่ 3 จำนวน 1,000 บาท และจำเลยที่ 4จำนวน 1,500 บาทเท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทโดยไม่ได้อาศัยโจทก์ คดีของโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2453/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การแก้ไขคำพิพากษาเล็กน้อยของศาลอุทธรณ์ และข้อจำกัดในการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับจำเลย 14,872 บาท โดยคำนวณค่าปรับจากราคาของกลาง29 รายการ และให้ริบของกลาง 29 รายการนี้ ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นให้ริบของกลางอีกรายการหนึ่งด้วย และแก้ จำนวนค่าปรับโดยคำนวณจากราคาของกลางรายการนี้ ให้ปรับเพิ่มขึ้นอีก 24,000 บาทดังนี้ ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย คู่ความต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 1/2516)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 881/2515

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การโต้แย้งเจตนาออกเช็คเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่อาจฎีกาได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ลงโทษจำคุกจำเลย 2 เดือน โดยวินิจฉัยข้อเท็จจริงต้องกันมาแล้วว่า จำเลยออกเช็คให้โจทก์ร่วมโดยมีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค เมื่อข้อฎีกาขอบจำเลยที่อ้างว่าเป็นข้อกฎหมาย มีใจความเป็นการโต้แย้งว่า จำเลยออกเช็ค โดยมิได้มีเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้น ฎีกาของจำเลยย่อมเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218
of 50