พบผลลัพธ์ทั้งหมด 754 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำกัดทุนทรัพย์ฟ้องขับไล่, สัญญาเช่าล่วงหน้าหลีกเลี่ยงกฎหมาย, ฟ้องแย้งไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกที่เช่าซื้อมีค่าเช่าตามสัญญาในขณะยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละสองพันบาท และค่าเสียหายตามฟ้องไม่เกิน สองหมื่นบาทคดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 224 แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยและจำเลยฎีกาต่อมาก็ถือเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์โดยชอบตามมาตรา 249 สัญญาเช่าที่มีกำหนดเวลาเช่าไว้ฉบับละ 3 ปี ติดต่อกันโดยทำสัญญาหลายฉบับในคราวเดียวกันโดยลงวันที่ล่วงหน้าเป็นการกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงต่อบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 538 ซึ่งบังคับให้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจะนำสัญญาดังกล่าวมาฟ้องบังคับไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องแย้ง, สิทธิครอบครอง, ประทานบัตรทำเหมืองแร่, ความเสียหายจากการกระบวนการชั่วคราว, การแก้ไขฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องรบกวนสิทธิครอบครองที่พิพาทของโจทก์และขอให้เพิกถอนประทานบัตรการทำเหมืองแร่ในที่พิพาทของจำเลยที่ 2 จำเลยฟ้องแย้งโดย ฟ้องแย้งเดิมก่อนที่จำเลยจะขอแก้ไขจำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายที่ขาดกำไรสุทธิจากการทำเหมืองแร่ในที่พิพาทวันละ 15,000 บาท โดยอ้างว่าโจทก์แกล้งร้องคัดค้านการออกประทานบัตรของจำเลยที่ 2แกล้งฟ้องคดีนี้ และแกล้งนำเอาสำเนาคำฟ้องไปยื่นร้องคัดค้านการออกประทานบัตรดังกล่าวต่อกรมทรัพยากรธรณีอันเป็นการละเมิดต่อจำเลยที่ 2 แต่ปัญหาว่าที่พิพาทโจทก์ที่ 1 หรือจำเลยที่ 2มีสิทธิครอบครองโจทก์และจำเลยยังโต้เถียงกันอยู่ในขณะฟ้องแย้งทั้งสิทธิทำเหมืองแร่ในที่พิพาทของจำเลยที่ 2 ก็ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของทางราชการจำเลยยังไม่มีสิทธิโดย สมบูรณ์ที่จะเข้าทำเหมืองแร่ในที่พิพาทการที่โจทก์กระทำการดังกล่าว จึงยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยที่ 2 ซึ่งยังไม่มีอยู่ในขณะฟ้องแย้ง ฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวเป็นฟ้องที่มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 จำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งในส่วนนี้ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่แก้ไขขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับประทานบัตรห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้โจทก์รื้อถอนเรือนแถวที่พักของคนงานและทำให้ที่ดินมีสภาพเหมือนเดิม และให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยวันละ 15,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2521 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะได้เข้าทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรนั้น ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่พิพาท ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2521จำเลยขอแก้ไขฟ้องแย้งและได้รับอนุญาตจากศาลเมื่อวันที่ 13ธันวาคม 2521 ซึ่งเป็นภายหลังจากที่จำเลยที่ 2 ได้รับประทานบัตรแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิในที่พิพาทในขณะที่ขอแก้ไขฟ้องแย้ง การที่โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ในที่พิพาทจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยแล้ว ทั้งการที่จำเลยแก้ไขฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องและให้โจทก์รื้อถอนเรือนแถวที่พักของคนงานนั้น ถือได้ว่าเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม จำเลยจึงมีอำนาจฟ้องแย้งในส่วนดังกล่าวแต่ที่จำเลยขอให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยวันละ 15,000บาทนั้น จำเลยอ้างในฟ้องแย้งที่แก้ไขว่า จำเลยที่ 2 ได้รับประทานบัตรเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2521 จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิและอำนาจที่จะทำเหมืองแร่ในที่พิพาทได้แต่โจทก์ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จำเลยกระทำการใด ๆ ในที่พิพาทตั้งแต่วันที่ 13 กันยายน 2521 จำเลยที่ 2 จึงไม่สามารถทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรได้ ทำให้จำเลยที่ 2 ได้รับความเสียหายซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งและออกหมายห้ามตามคำขอในเหตุฉุกเฉินในวันเดียวกันนั้น แต่มูลหนี้ตามฟ้องแย้งเกี่ยวกับค่าเสียหายของจำเลยนี้เกิดจากกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่เรียกว่าวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา อันเป็นกรณีที่เกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมายคือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากจากคำฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนที่ขอเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากโจทก์จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ชอบที่จะฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหากตามมาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องแย้งจำกัดเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม และการเรียกร้องค่าเสียหายจากกระบวนการชั่วคราวก่อนพิพากษาต้องฟ้องเป็นคดีต่างหาก
ฎีกาของโจทก์ที่ว่าฟ้องแย้งเป็นฟ้องซ้ำกับคดีอื่นเป็นฎีกาข้อที่โจทก์มิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การแก้ฟ้องแย้งจึงไม่มีประเด็นและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แม้จะเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)ประกอบมาตรา 246, และ 247 ฎีกาของโจทก์ที่ว่าฟ้องแย้งไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิมแม้โจทก์จะมิได้ให้การแก้ฟ้องแย้งในข้อดังกล่าวไว้ แต่ข้อฎีกานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคสอง ปัญหาว่าที่พิพาทโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครอง โจทก์และจำเลยยังโต้เถียงกันอยู่ในขณะจำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายที่ขาดกำไรสุทธิจากการทำเหมืองแร่ในที่พิพาท ทั้งสิทธิทำเหมืองแร่ในที่พิพาทของจำเลยก็ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของทางราชการจำเลยยังไม่มีสิทธิโดยสมบูรณ์ที่จะเข้าทำเหมืองแร่ในที่พิพาทการที่โจทก์ไปร้องคัดค้านการขอออกประทานบัตรของจำเลย ฟ้องคดีนี้และนำสำเนาคำฟ้องไปยื่นร้องคัดค้านต่อกรมทรัพยากรธรณีจึงยังไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยซึ่งยังไม่มีอยู่ในขณะฟ้องแย้งฟ้องแย้งดังกล่าวเป็นฟ้องที่มิชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 จำเลยจึงไม่มีอำนาจฟ้องแย้งในส่วนนี้ ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่แก้ไขขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยที่ 2เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทตามที่จำเลยที่ 2 ได้รับประทานบัตรห้ามมิให้โจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง ให้โจทก์รื้อถอนเรือนแถวที่พักของคนงาน และทำให้ที่ดินมีสภาพเหมือนเดิมและให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยวันละ 15,000 บาท นับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน2521 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสองจะได้เข้าทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรนั้น แม้โจทก์ที่ 1 จะมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 ปรากฏว่าจำเลยที่ 2ได้รับประทานบัตรทำเหมืองแร่ในที่พิพาทตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน2521 จำเลยขอแก้ไขฟ้องแย้งและได้รับอนุญาตจากศาลเมื่อวันที่13 ธันวาคม 2521 ซึ่งเป็นภายหลังจากที่จำเลยที่ 2 ได้รับประทานบัตรดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิในที่พิพาทในขณะที่ขอแก้ไขฟ้องแย้งการที่โจทก์ฟ้องขอให้ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้องรบกวนสิทธิครอบครองของโจทก์ในที่พิพาทจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของจำเลยแล้ว ทั้งการที่จำเลยแก้ไขฟ้องแย้งดังกล่าวถือได้ว่าเป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม จำเลยจึงมีอำนาจฟ้องแย้งในส่วนดังกล่าว แต่ที่จำเลยขอให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยวันละ15,000 บาท นั้น ปรากฏว่า มูลหนี้ตามฟ้องแย้งของจำเลยเกิดจากกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่เรียกว่าวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา อันเป็นกรณีที่เกิดขึ้นตามบทบัญญัติของกฎหมาย คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งต่างหากจากคำฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยเรียกค่าเสียหายดังกล่าวจากโจทก์จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ชอบที่จะฟ้องโจทก์เป็นคดีต่างหากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฟ้องแย้งกรณีโต้เถียงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และผลกระทบต่อการพิจารณาคดีเดิม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขนย้ายทรัพย์สินและรื้อบ้านออกไปจากที่ดินแปลงที่พิพาท กับให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสาม ดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสามโต้เถียงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม จำเลยทั้งสามย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องแย้งได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์จากการครอบครองเมื่อคดีเดิมดำเนินไปแล้ว ศาลฎีกาไม่รับฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามขนย้ายทรัพย์สินและรื้อบ้านออกไป กับให้ใช้ค่าเสียหาย จำเลยทั้งสามให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยทั้งสามครอบครองที่พิพาท ซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดต่อจากบิดามารดาด้วยความสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินสิบปี ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดย การครอบครอง โจทก์ซื้อที่พิพาทโดย ไม่สุจริตไม่เสียค่าตอบแทน ทั้งทราบการครอบครองของจำเลยทั้งสามแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามโดย การครอบครอง ห้ามมิให้โจทก์เกี่ยวข้องต่อไป ดังนี้เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสามโต้เถียงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมโดยตรง มิใช่เป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมจำเลยทั้งสามย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องแย้งได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์มิได้ทำคำสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างอุทธรณ์คำสั่งและบัดนี้คดีเดิมศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษาเสร็จจนถึงศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไปแล้ว คดีอยู่ระหว่างที่จำเลยทั้งสามฎีกา จึงไม่มีเหตุที่จะให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งและรื้อฟื้นพิจารณาพิพากษาประเด็นตามฟ้องแย้งนั้นใหม่ถ้าจำเลยทั้งสามเห็นว่า จำเลยทั้งสามได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครอง ก็ชอบที่จำเลยทั้งสามจะดำเนินคดีเรียกร้องเป็นคดีต่างหากได้ เพราะคำพิพากษาดังกล่าวก็ไม่ตัดสิทธิของจำเลยทั้งสามที่จะเรียกร้องได้ตามสิทธิของตน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองหลังมีคำพิพากษาคดีเดิมแล้ว ศาลฎีกาไม่รับฟ้องแย้ง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากเจ้าของเดิม จำเลยอาศัยสิทธิของเจ้าของเดิมปลูกบ้านในที่ดินพิพาทบางส่วน โจทก์แจ้งให้จำเลยรื้อถอนออกไปแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้ขับไล่จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทต่อจากบิดามารดา ด้วยความสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินสิบปีย่อมได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย ดังนี้ ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นการโต้เถียงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมโดยตรง มิใช่เป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จำเลยย่อมมีสิทธิฟ้องแย้งได้ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฟ้องแย้งแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฟ้องแย้ง แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้งไว้พิจารณาก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ทำคำสั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ในระหว่างที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งเมื่อคดีเดิมศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษาเสร็จจนถึงศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดีไปแล้ว และคดีอยู่ระหว่างที่จำเลยฎีกาแม้ศาลฎีกาจะเห็นว่าฟ้องแย้งเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ้องเดิมโดยตรงแต่ก็ไม่มีเหตุที่จะให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องแย้ง และรื้อฟื้นพิจารณาพิพากษาประเด็นข้อนี้ใหม่ เพราะถ้าจำเลยเห็นว่า จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองก็ชอบที่จำเลยจะดำเนินคดีเรียกร้องได้ เนื่องจากคำพิพากษาคดีเดิมไม่ตัดสิทธิจำเลยที่จะเรียกร้องได้ตามสิทธิของตน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6367/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจร้องขัดทรัพย์ต้องมีสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึด ณ เวลาที่ยึด แม้มีฟ้องแย้งสิทธิยังไม่เกิด
ขณะที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยศาลยังมิได้พิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีตามที่ผู้ร้องได้ฟ้องแย้งทรัพย์สินดังกล่าวยังเป็นของจำเลยอยู่ การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์สินของจำเลยจึงหาได้โต้แย้งสิทธิของผู้ร้องไม่ ผู้ร้องไม่มีอำนาจยื่นคำร้องขัดทรัพย์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 288.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6155/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดิน - ผลผูกพันคำพิพากษาคดีอาญา - การฟ้องแย้งสิทธิ
คดีก่อนพนักงานอัยการได้ฟ้องขอให้ศาลลงโทษโจทก์คดีนี้ข้อหาบุกรุกที่ดินของจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยเนื่องจากเชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ขาดเจตนาในการกระทำความผิด คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์และบุตรสาวโจทก์เข้าไปทำนาในที่ดินพิพาทดังกล่าวอีก จำเลยก็ไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวหาว่าโจทก์และบุตรสาวโจทก์เข้าไปบุกรุกที่ดินพิพาทของจำเลย โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยและห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องในที่ดินพิพาท เช่นนี้ คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าวข้างต้น ในการวินิจฉัยคดีนี้ ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ดังที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และคำพิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 โจทก์จะอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์โดยอาศัยสิทธิที่โจทก์มีมาก่อนที่ศาลในคดีส่วนอาญาได้พิพากษาไปแล้ว และห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4630/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่ง เงื่อนไขการซื้อขาย และการฟ้องแย้งเป็นคดีต่างหาก
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อเป็ดไปจากโจทก์แล้วผิดนัดไม่ชำระราคาจำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยซื้อเป็ดไปจากโจทก์จริง แต่มีเงื่อนไขว่าถ้าเป็ดที่ซื้อไปไม่เป็นโรคตายภายใน 5 วัน จำเลยจะชำระราคาเมื่อปรากฏว่าเป็ดที่ซื้อไปตายภายในกำหนดดังกล่าว จำเลยจึงไม่ต้องชำระราคา การที่ศาลชั้นต้นฟังว่าการซื้อขายเป็ดเป็นการซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่ง กรรมสิทธิ์ในเป็ดย่อมโอนไปยังจำเลยทันที ที่จำเลยต่อสู้ว่า การซื้อขายมีเงื่อนไขฟังไม่ขึ้น ดังนี้ เท่ากับศาลชั้นต้นฟังว่าการซื้อขายไม่มีเงื่อนไขและเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ซึ่งเป็นการวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทที่ว่าจำเลยจะต้องรับผิดชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่แล้ว ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อเป็ดไปจากโจทก์แล้วผิดนัดไม่ชำระราคาจำเลยรับว่าซื้อเป็ดไปจากโจทก์จริง แต่เป็ดเป็นโรคตายหมดภายในกำหนดสัญญา จึงไม่ต้องชำระราคา และฟ้องแย้งว่าเชื้อโรคจากเป็ดโจทก์ติดต่อเป็ดของจำเลยตายไปด้วย ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหายดังนี้ ฟ้องแย้งเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาซื้อขาย ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4622/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขความสามารถของจำเลย และอายุความฟ้องแย้งจากการผิดสัญญา
ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 56 คู่ความมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถของตนให้บริบูรณ์ได้ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนมีคำพิพากษา ทั้งตามมาตรา 66 ก็ได้ให้อำนาจศาลทำการสอบสวนและมีอำนาจยกฟ้อง หรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอย่างอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม การที่จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 18 ธันวาคม 2528 ว่าใบแต่งทนายความของจำเลยฉบับลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2527 มี ส.กรรมการของจำเลย ซึ่งมิได้เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงชื่อร่วมกับ ธ.แต่งตั้งให้ อ.เป็นทนายความโดย ส.เข้าใจผิดว่าตนมีอำนาจ จำเลยจึงยื่นใบแต่งทนายความใหม่ให้ถูกต้องนั้น คำร้องของจำเลยดังกล่าวเป็นการขอแก้ไขข้อบกพร่องเรื่องความสามารถดังนั้น คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตตามคำร้องดังกล่าวก่อนมีคำพิพากษาจึงเป็นคำสั่งที่ชอบและมีผลย้อนหลังไปถึงวันที่สั่งรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลย และปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะมิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การแก้ฟ้องแย้ง แต่เมื่อโจทก์ได้หยิบยกขึ้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ก็วินิจฉัยให้ เมื่อโจทก์ฎีกา ศาลฎีกาก็เห็นสมควรวินิจฉัยให้
จำเลยฟ้องแย้งว่า จำเลยจ้างโจทก์ซ่อมแซมคอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น โจทก์ไม่สามารถซ่อมให้ใช้การได้และแล้วเสร็จตามสัญญาจำเลยได้บอกกล่าวให้โจทก์ซ่อมให้ใช้การได้ แต่โจทก์เพิกเฉย ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์เพราะโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญา หาใช่ฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดเพื่อการชำรุดบกร่อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 600 ซึ่งมีอายุความ 1 ปีไม่ ดังนั้นฟ้องแย้งของจำเลยจึงมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 ฟ้องแย้งของจำเลยย่อมไม่ขาดอายุความ
จำเลยฟ้องแย้งว่า จำเลยจ้างโจทก์ซ่อมแซมคอมเพรสเซอร์ของเครื่องทำความเย็น โจทก์ไม่สามารถซ่อมให้ใช้การได้และแล้วเสร็จตามสัญญาจำเลยได้บอกกล่าวให้โจทก์ซ่อมให้ใช้การได้ แต่โจทก์เพิกเฉย ถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์เพราะโจทก์ปฏิบัติผิดสัญญา หาใช่ฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดเพื่อการชำรุดบกร่อง ตาม ป.พ.พ. มาตรา 600 ซึ่งมีอายุความ 1 ปีไม่ ดังนั้นฟ้องแย้งของจำเลยจึงมีอายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 ฟ้องแย้งของจำเลยย่อมไม่ขาดอายุความ