พบผลลัพธ์ทั้งหมด 926 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3347/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาเป็นอันยกเลิกหากโจทก์ไม่ขอหมายบังคับคดีภายในกำหนด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตตามคำขอของโจทก์เกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาที่ให้จำเลยนำเงินมาวางศาลและห้ามมิให้จำเลยจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินพิพาท ต่อมาศาลได้พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี โดยในคำพิพากษามิได้กล่าวไว้ซึ่งวิธีการชั่วคราวที่ศาลได้สั่งไว้นั้นและได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน เมื่อโจทก์มิได้ขอหมายบังคับคดีภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในคำบังคับคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาย่อมเป็นอันยกเลิกเมื่อสิ้นระยะเวลาดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260 เป็นบทบัญญัติในชั้นขอให้คุ้มครองสิทธิของคู่ความในระหว่างคดีก่อนมีคำพิพากษาในแต่ละชั้นศาล เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้วตามมาตรา 260(2) บัญญัติให้คำสั่งนั้นมีผลไปจนกว่าจะได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเท่าที่จำเป็นเพื่อบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ศาลในชั้นนี้ย่อมหมายถึงศาลชั้นต้นนั่นเอง หาใช่หมายถึงศาลที่มีคำพิพากษาถึงที่สุดไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2961/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: คำสั่งรับฎีกาของศาลชั้นต้นไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งในฎีกาจำเลยว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นควรให้ศาลฎีกาวินิจฉัย จึงรับรองให้ฎีกาได้ รับฎีกาจำเลย สำเนาให้โจทก์แก้ คำสั่งดังกล่าวไม่มีข้อความใดที่แสดงว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด และอนุญาตให้ฎีกา จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 221
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2138/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จึงห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินผลประโยชน์ตอบแทนในการจำหน่ายสินค้าพร้อมดอกเบี้ยรวมจำนวน 81,391.75 บาทแก่โจทก์ แต่จำนวนเงินและดอกเบี้ยที่โจทก์แต่ละคนมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองทั้งสองร่วมกันรับผิดชำระให้นั้นมีส่วนเท่า ๆ กันคนละ 40,695,875 บาท ไม่ใช่เป็นหนี้ร่วมที่ไม่อาจแบ่งแยกได้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2054/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดี: จำเลยต้องยื่นคำคัดค้านต่อศาลชั้นต้นก่อนอุทธรณ์ หากเห็นว่าการขายทอดตลาดไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 แก่ผู้ซื้อเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2530 ก่อนการเคาะไม้เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลชั้นต้นเพื่อมีคำสั่งว่าจะอนุญาตให้ขายหรือไม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขายได้เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงเคาะไม้ขายไป ต่อมาวันที่ 18 พฤศจิกายน2530 จำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขายทรัพย์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งงดการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวและประกาศขายทอดตลาดใหม่ การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ขายทอดตลาดและศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ขายทอดตลาดนั้นเป็นวิธีการขายทอดตลาดทรัพย์ของเจ้าพนักงานบังคับคดี หากจำเลยที่ 1 เห็นว่าการขายทรัพย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 ต้องยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่ทราบการฝ่าฝืนนั้น ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับใด ๆโดยเฉพาะเพื่อให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดเสียก่อนตามมาตรา296 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่จำเลยที่ 1มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าว กลับยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวแล้วไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฎีกาต้องแสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับตามที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์
ฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์มิได้บรรยายถึงเนื้อหาแห่งคำฟ้อง คำให้การ และคำพิพากษาศาลชั้นต้น คงบรรยายโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในข้อที่โจทก์ไม่เห็นด้วย ซึ่งเมื่ออ่านฎีกาของโจทก์โดยตลอดแล้วไม่อาจทราบได้ว่า โจทก์ฟ้องจำเลยอย่างไรจำเลยให้การต่อสู้ว่าอย่างไร ข้อที่โจทก์ยกขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์นั้นเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ ฟ้องฎีกาของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 171 ประกอบด้วย มาตรา 246,247 ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1901/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับพิจารณาเนื่องจากฟ้องฎีกาไม่แสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ รวมถึงไม่ได้ยกประเด็นที่เคยว่ากันในศาลชั้นต้น
ฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ฎีกาของโจทก์ทั้งสอง มิได้บรรยายถึงเนื้อหาแห่งคำฟ้องคำให้การและคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยบรรยายในฎีกาแต่เพียงว่าศาลอุทธรณ์พิจารณาและวินิจฉัยแล้วได้โปรดมีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นกำหนดให้โจทก์ทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งเจ็ด 600 บาท โจทก์ทั้งสองด้วยความเคารพต่อคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โจทก์ทั้งสองมิอาจเห็นพ้องต้องด้วยกับการพิจารณาและวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายหลายประการ โจทก์ทั้งสองจึงขอฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา ซึ่งโจทก์ทั้งสองจะได้กล่าวต่อไปนี้ ต่อจากนั้นจึงได้โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ในข้อที่โจทก์ทั้งสองไม่เห็นด้วย ซึ่งเมื่ออ่านฎีกาของโจทก์ทั้งสองโดยตลอดแล้วไม่อาจทราบได้ว่า โจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งเจ็ดว่าอย่างไรจำเลยทั้งเจ็ดให้การต่อสู้ว่าอย่างไร ข้อที่โจทก์ทั้งสองยกขึ้นโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 2 นั้น เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นหรือไม่ ฟ้องฎีกาของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบด้วยมาตรา246,247 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1724/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีใหม่: ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงถูกต้องและคดีมีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองหมื่นบาท จึงไม่อุทธรณ์ได้
การที่ศาลชั้นต้นสั่งว่า คำร้องบรรยายว่าได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยชอบ อ้างเหตุว่าไม่ทราบ อ่านหนังสือไม่ออกไม่เป็นเหตุให้พิจารณาใหม่ได้นั้น เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริง เมื่อคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินสองหมื่นบาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 ส่วนที่ฎีกาว่าคำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ได้กล่าวไว้โดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลแล้วนั้น แม้ปัญหาดังกล่าวจะเป็นข้อกฎหมาย แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติแล้วว่าไม่มีเหตุที่จะพิจารณาคดีใหม่ ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องร้องซ้ำในประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
คดีก่อนผู้คัดค้านเป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องเป็นจำเลยว่า ผู้คัดค้านเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 274 ผู้ร้อง ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของผู้คัดค้าน ขอให้ขับไล่ผู้ร้องออกไป ผู้ร้องให้การว่า ผู้ร้องได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินดังกล่าวมากว่า 30 ปีแล้ว ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้อง ในคดีนี้ผู้ร้องมายื่นคำร้องว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ 274 ด้วยความสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 22 ปีเศษแล้ว ผู้ร้อง จึงได้กรรมสิทธิ์โดยครอบครองปรปักษ์ขอให้ศาลสั่งว่า ที่ดิน ดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง ประเด็นของคดีทั้งสองจึงมีว่า ผู้ร้องได้ ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้วหรือไม่ เมื่อประเด็นแห่งคดีเหมือนกันและ เป็นคู่ความเดียวกัน ทั้งศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดไปแล้วย่อมต้องห้าม มิให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำอีก ตาม ป.พ.พ. มาตรา144.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1338/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงที่เกินกรอบประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย และประเด็นที่จำเลยมิได้ยกขึ้นสู่การพิจารณา
ฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวนเป็นคดีฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 และที่ 2ออกจากอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของตน แต่อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นบิดาจึงมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนไม่ปรากฏว่าในขณะยื่นคำฟ้องที่พิพาทอาจให้เช่าได้เกินเดือนละ5,000 บาท หรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาถึงจำนวนเนื้อที่ ราคา ที่ตั้งและสภาพทั่ว ๆ ไปของที่พิพาทแล้ว อาจให้เช่าในขณะยื่นคำฟ้องได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท ก็ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 6อันเป็นกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะยื่นฎีกา ตามคำร้องสอดของจำเลยที่ 3 มิได้กล่าวอ้างหรือยกประเด็นในเรื่ององค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและโจทก์รับโอนที่พิพาทมาโดยไม่สุจริตไว้ ทั้ง ๆ ที่ภาระการพิสูจน์ตกแก่ฝ่ายตนที่จะหักล้างข้อสันนิษฐานอันเป็นคุณแก่โจทก์ว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าองค์การบริหารส่วนจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและโจทก์รับโอนที่พิพาทไว้โดยสุจริตหรือไม่ที่ศาลล่างทั้งสองหยิบยกปัญหาข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบ ถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนอกเหนือข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติ เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบ แม้ไม่ได้ยกขึ้นในชั้นฎีกา
จำเลยที่ 1 และจำเลยอื่นให้การรับสารภาพ คดีต้องฟังตามคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยทั้งหมดร่วมกันกระทำผิดดังโจทก์ฟ้องโจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 โดยไม่รอการลงโทษ อ้างว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างจำเลยอื่นให้มาร่วมกระทำความผิดด้วยเป็นการอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นนอกจากที่บรรยายฟ้องจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1โดยไม่รอการลงโทษ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกเหนือไปจากข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติมาแล้ว เป็นการวินิจฉัยที่ไม่ชอบแม้คู่ความจะมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นในชั้นฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย