พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,266 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 41/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานบุคคลเพื่ออธิบายความหมายของสัญญาเช่า ไม่ถือเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญา
สัญญาเช่าและหนังสือต่อท้ายสัญญาเช่าระบุไว้แต่เพียงว่าจำเลยจะต้องสร้างตึกแถวอาคารพาณิชย์เท่านั้นการที่โจทก์นำพยานบุคคลมาสืบว่ามีข้อตกลงด้วยวาจาว่าจำเลยจะต้องสร้างตึกแถวอาคารพาณิชย์3ชั้นและ2ชั้นหน้ากว้าง4เมตรลึก14ถึง16เมตรเป็นการนำสืบอธิบายความหมายของคำว่าตึกแถวอาคารพาณิชย์ในสัญญาไม่ใช่เป็นการสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมตัดทอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาเช่าและหนังสือต่อท้ายสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94(ข)โจทก์จึงนำพยานบุคคลมาสืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3785-3789/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องสัญญาเช่า: การที่โจทก์ไม่ได้รับค่าเช่าจากผู้เช่าที่วางทรัพย์มีเงื่อนไข ไม่ใช่ความผิดจำเลย
โจทก์ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าผู้เช่าทั้งห้ารายนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลาง กรมบังคับคดีทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าที่วางไว้ได้ ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวเกิดจากการที่ผู้เช่าทั้งห้ารายทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่ากลับนำเงินค่าเช่าไปวาง ณ สำนักงานวางทรัพย์กลางโดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งเป็นการกระทำของผู้เช่าทั้งห้ารายไม่ใช่การกระทำของจำเลย การที่โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าได้เพราะมีเงื่อนไขดังกล่าวที่ผู้เช่าทั้งห้ารายกำหนดไว้ มิใช่เพราะจำเลยไปคัดค้านการขอรับเงินค่าเช่าของโจทก์แต่อย่างใด ทั้งจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าทั้งห้ารายมาก่อนการวางทรัพย์ จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดหรือโต้แย้งสิทธิโจทก์ อันเป็นเหตุให้โจทก์รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3785-3789/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องจำเลย กรณีผู้เช่าวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง
โจทก์ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าผู้เช่าทั้งห้ารายนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดีทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าที่วางไว้ได้ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวเกิดจากการที่ผู้เช่าทั้งห้ารายทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่ากลับนำเงินค่าเช่าไปวางณสำนักงานวางทรัพย์กลางโดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งเป็นการกระทำของผู้เช่าทั้งห้ารายไม่ใช่การกระทำของจำเลยการที่โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าได้เพราะมีเงื่อนไขดังกล่าวที่ผู้เช่าทั้งห้ารายกำหนดไว้มิใช่เพราะจำเลยไปคัดค้านการขอรับเงินค่าเช่าของโจทก์แต่อย่างใดทั้งจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าทั้งห้ารายมาก่อนการวางทรัพย์จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดหรือโต้แย้งสิทธิโจทก์อันเป็นเหตุให้โจทก์รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางไม่ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3785-3789/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องจำเลย กรณีผู้เช่าวางทรัพย์เพื่อชำระหนี้เจ้าหนี้อื่น โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง
โจทก์ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าผู้เช่าทั้งห้ารายนำเงินค่าเช่าไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์กลางกรมบังคับคดีทำให้โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าที่วางไว้ได้ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวเกิดจากการที่ผู้เช่าทั้งห้ารายทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้วไม่ชำระค่าเช่ากลับนำเงินค่าเช่าไปวางณสำนักงานวางทรัพย์กลางโดยกำหนดเงื่อนไขเพื่อจ่ายให้แก่เจ้าหนี้ที่แท้จริงตามคำพิพากษาถึงที่สุดซึ่งเป็นการกระทำของผู้เช่าทั้งห้ารายไม่ใช่การกระทำของจำเลยการที่โจทก์ไม่สามารถรับเงินค่าเช่าได้เพราะมีเงื่อนไขดังกล่าวที่ผู้เช่าทั้งห้ารายกำหนดไว้มิใช่เพราะจำเลยไปคัดค้านการขอรับเงินค่าเช่าของโจทก์แต่อย่างใดทั้งจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับผู้เช่าทั้งห้ารายมาก่อนการวางทรัพย์จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดหรือโต้แย้งสิทธิโจทก์อันเป็นเหตุให้โจทก์รับเงินค่าเช่าจากสำนักงานวางทรัพย์กลางไม่ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3470/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้าง การใช้หนังสือมอบอำนาจเพื่ออธิบายสัญญาเช่า ไม่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญา
จำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารประกอบในการถามค้านที่โจทก์เบิกความว่า ล.เจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวที่ให้เช่าไม่ได้มอบอำนาจให้ ย.บิดาของ ล.ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทกับจำเลย พยานเอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของจำเลย ซึ่งจะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนของกฎหมาย แม้จำเลยมิได้ระบุเอกสารดังกล่าวในบัญชีระบุพยานและส่งสำเนาให้แก่โจทก์ก็ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟัง เพราะกรณีดังกล่าวไม่อยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติ ป.วิ.พ. มาตรา 88 และ 90
เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ไว้ว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทคือล. มอบอำนาจให้ ย. ทำสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว จำเลยย่อมนำสืบโดยอ้างหนังสือมอบอำนาจเพื่ออธิบายให้เห็นว่าที่มีชื่อ ย.เป็นผู้ให้เช่าในสัญญาเช่านั้น เพราะ ล.ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในตึกแถวมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าได้ การนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเช่า
เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ไว้ว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทคือล. มอบอำนาจให้ ย. ทำสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว จำเลยย่อมนำสืบโดยอ้างหนังสือมอบอำนาจเพื่ออธิบายให้เห็นว่าที่มีชื่อ ย.เป็นผู้ให้เช่าในสัญญาเช่านั้น เพราะ ล.ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในตึกแถวมอบอำนาจให้ทำสัญญาเช่าได้ การนำสืบของจำเลยดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาเช่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3470/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารและการนำสืบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอำนาจในการทำสัญญาเช่า
การที่จำเลยมิได้ระบุหนังสือมอบอำนาจเป็นพยานและส่งสำเนาให้โจทก์แต่ใช้เอกสารนั้นประกอบการถามค้านโจทก์ว่า ล. เจ้าของกรรมสิทธิ์มอบอำนาจให้ ย. ทำสัญญาเช่ากับจำเลยพยานเอกสารดังกล่าวมิใช่เป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงแม้จะมิได้ระบุไว้ในบัญชีพยานและส่งสำเนาให้โจทก์ก็ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟังกรณีไม่อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา88,90ศาลรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานได้ เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่า ล. เจ้าของกรรมสิทธิ์มอบอำนาจให้ ย. ทำสัญญาเช่ากับจำเลยย่อมนำสืบโดยอ้างหนังสือมอบอำนาจเพื่ออธิบายให้เห็นว่าที่มีชื่อ ย. เป็นผู้ให้เช่าในสัญญาเช่าเพราะได้รับมอบอำนาจจาก ล. ไม่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารสัญญาเช่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3459/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะ 'บริวาร' ผู้เช่าตึกแถว: สัญญาโอนสิทธิการเช่าทำให้มีฐานะเป็นบริวารของผู้อ้างสิทธิเดิม
ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีให้โจทก์และบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาท เมื่อผู้ร้องอ้างว่า ผู้ร้องมิใช่บริวารของโจทก์ แต่จำเลยคัดค้านว่าผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทจะต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์หรือไม่ ซึ่งการที่จะวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยปกติศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนโดยเปิดโอกาสให้คู่กรณีนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างและข้อคัดค้านของตนแล้วจึงจะวินิจฉัยชี้ขาด แต่คดีนี้ผู้ร้องมิได้มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยการที่ผู้ร้องเข้าครอบครองอ้างสิทธิในตึกแถวพิพาทก็โดยอาศัยสิทธิตามสัญญาโอนสิทธิการเช่าระหว่างผู้ร้องกับโจทก์ จึงต้องถือว่าผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์ ดังนั้นแม้จะทำการไต่สวนและฟังข้อเท็จจริงได้ตามคำร้อง ก็คงต้องฟังว่าผู้ร้องเป็นบริวารของโจทก์อยู่นั่นเอง ศาลชอบที่สั่งงดการไต่สวนเสียได้
เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยในปัญหาที่ว่า ที่ศาลชั้นต้นงดไต่สวนคำร้องของผู้ร้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องโดยตรงแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจยกปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องโดยผู้พิพากษานายเดียวเป็นผู้ลงนามในคำสั่งนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวมีลักษณะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษานายเดียวที่จะออกคำสั่งได้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 21 (2)อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น โดยให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ให้มีผู้พิพากษาครบองค์คณะได้
เมื่อศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยในปัญหาที่ว่า ที่ศาลชั้นต้นงดไต่สวนคำร้องของผู้ร้องชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องโดยตรงแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจยกปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องโดยผู้พิพากษานายเดียวเป็นผู้ลงนามในคำสั่งนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวมีลักษณะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดี ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจของผู้พิพากษานายเดียวที่จะออกคำสั่งได้ ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 21 (2)อันเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจที่จะพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น โดยให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ให้มีผู้พิพากษาครบองค์คณะได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคืนเงินประกันสัญญาเช่าเมื่อสัญญาเลิกก่อนกำหนด และสิทธิหักกลบลบหนี้
แม้สัญญาเช่าตึกแถวข้อ 2 จะได้ระบุว่า โจทก์ผู้ให้เช่าจะคืนเงินประกันความเสียหายแก่จำเลยเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วก็ตาม แต่ในกรณีที่โจทก์ผู้ให้เช่าหรือจำเลยผู้เช่าบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเวลาเช่า 2 ปีตามสิทธิที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าข้อ 12 โจทก์ผู้ให้เช่าก็ย่อมต้องคืนเงินประกันความเสียหายนั้นให้แก่จำเลยผู้เช่าหลังจากหักเงินประกันดังกล่าวชำระหนี้ค่าน้ำประปาไฟฟ้า โทรศัพท์ และความเสียหายของตึกแถวที่แล้วด้วย เพราะเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินของจำเลยที่วางไว้แก่โจทก์เพียงเพื่อประกันความเสียหายอันเนื่องมาจากการเช่าดังกล่าวเท่านั้น ดังนั้นเมื่อโจทก์และจำเลยไม่มีความผูกพันตามสัญญาเช่าตึกแถวต่อกันแล้ว โจทก์ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันความเสียหายดังกล่าวให้แก่จำเลยผู้เช่า และเมื่อปรากฏว่าจำเลยต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ จำเลยจึงมีสิทธิที่จะขอให้หักกลบลบหนี้ดังกล่าวกับเงินประกันความเสียหายนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการหักกลบลบหนี้กับเงินประกันความเสียหายจากการเช่าเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดหรือถูกบอกเลิก
แม้สัญญาเช่าตึกแถวข้อ2จะได้ระบุว่าโจทก์ผู้ให้เช่าจะคืนเงินประกันความเสียหายแก่จำเลยเมื่อสัญญาเช่าครบกำหนดแล้วก็ตามแต่ในกรณีที่โจทก์ผู้ให้เช่าหรือจำเลยผู้เช่าบอกเลิกสัญญาก่อนครบกำหนดเวลาเช่า2ปีตามสิทธิที่ระบุไว้ในสัญญาเช่าข้อ12โจทก์ผู้ให้เช่าก็ย่อมต้องคืนเงินประกันความเสียหายนั้นให้แก่จำเลยผู้เช่าหลังจากหักเงินประกันดังกล่าวชำระหนี้ค่าน้ำประปาไฟฟ้าโทรศัพท์และความเสียหายของตึกแถวที่แล้วด้วยเพราะเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินของจำเลยที่วางไว้แก่โจทก์เพียงพอเพื่อประกันความเสียหายอันเนื่องมาจากการเช่าดังกล่าวเท่านั้นดังนั้นเมื่อโจทก์และจำเลยไม่มีความผูกพันตามสัญญาเช่าตึกแถวต่อกันแล้วโจทก์ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันความเสียหายดังกล่าวให้แก่จำเลยผู้เช่าและเมื่อปรากฏว่าจำเลยต้องรับผิดชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์จำเลยจึงมีสิทธิที่จะขอให้หักกลบลบหนี้ดังกล่าวกับเงินประกันความเสียหายนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3096/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิซื้อก่อนตามสัญญาเช่า & การเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินเมื่อผู้ซื้อไม่ทราบข้อตกลง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1เพื่อทำสวน โดยมีข้อสัญญาว่าเมื่อจำเลยที่ 1 ประสงค์จะขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1ต้องบอกโจทก์ก่อน เพื่อโจทก์จะได้มีโอกาสซื้อเมื่อเห็นว่าเป็นราคาสมควร แต่ในระหว่างสัญญาเช่าจำเลยที่ 1 นำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่จำเลยที่ 2 ในการทำสัญญาขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันหลอกลวงแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานที่ดินว่าไม่มีสิ่งปลูกสร้างในที่ดิน ไม่มีค้างชำระภาษีไม่มีผู้เช่า เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินรับจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2โดยจำเลยที่ 1 มิได้แจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้า อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์ไม่มีโอกาสซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนสัญญาขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าขณะที่ทำนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 นั้น จำเลยที่ 2 ได้รู้อยู่ก่อนแล้วว่ามีข้อตกลงระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์ที่ให้โอกาสโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทได้ก่อนบุคคลอื่นและจำเลยที่ 2รู้ถึงข้อตกลงดังกล่าวด้วย ดังนี้ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องยังไม่อาจเพิกถอนการโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองตามคำขอบังคับของโจทก์ได้