พบผลลัพธ์ทั้งหมด 556 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1715/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโดยรู้ว่ามีสิทธิของผู้อื่น การโอนนั้นไม่สมบูรณ์และศาลสามารถเพิกถอนได้
ก. และ ว. โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งแปลงซึ่งมีที่ดินส่วนพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์รวมอยู่ด้วย ยกให้แก่จำเลย และจำเลยรู้ความจริงอยู่ว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แม้จำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ให้จำเลยร่วมซึ่งเป็นภริยาเป็นเจ้าของร่วมด้วย จำเลยและจำเลยร่วมก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าซื้อและการผิดสัญญา จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์จากการไม่โอนกรรมสิทธิ์
โจทก์และจำเลยที่ 1 อยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส ได้ตกลงกันให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเช่าซื้ออาคารสงเคราะห์เป็นผู้เช่าซื้อโดยโจทก์เป็นผู้ออกเงินค่าเช่าซื้อ และภายหลังเมื่อจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในอาคารนั้นแล้วให้โอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์หรือบุตรเมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงให้สำเร็จลุล่วงไป แต่กลับเอาสิทธิการเช่าซื้อไปโอนให้จำเลยที่ 2 เสีย เป็นเหตุให้โจทก์หรือ บุตรไม่อาจรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นได้ เช่นนี้จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญา และต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
การที่จำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยรู้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวนั้น ไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาอย่างใดกับโจทก์ เพราะระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์หาได้มีสัญญาต่อกันอย่างใดไม่และแม้โจทก์จะก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมสิ้นเงินไป 25,000 บาท การที่จำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิเช่าซื้ออาคารนี้มาก็ไม่เป็นลาภมิควรได้อันต้องคืนแก่โจทก์
การที่จำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยรู้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวนั้น ไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาอย่างใดกับโจทก์ เพราะระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์หาได้มีสัญญาต่อกันอย่างใดไม่และแม้โจทก์จะก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมสิ้นเงินไป 25,000 บาท การที่จำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิเช่าซื้ออาคารนี้มาก็ไม่เป็นลาภมิควรได้อันต้องคืนแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์กระบือ: การโอนกรรมสิทธิ์ต้องจดทะเบียน มิฉะนั้นเป็นโมฆะ เจ้าของอันแท้จริงเท่านั้นขอคืนของกลางได้
ผู้ร้องซื้อกระบือจากผู้ขาย แม้จะได้ชำระเงินไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายตกเป็นโมฆะ กระบือยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ขายอยู่
ผู้ที่จะเสนอคดีต่อศาลให้ศาลสั่งคืนของกลางที่ศาลสั่งริบแล้วจะต้องเป็นเจ้าของอันแท้จริง เมื่อผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของอันแท้จริงแล้วจะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งคืนกระบือของกลางที่ศาลสั่งริบแล้วไม่ได้
ผู้ที่จะเสนอคดีต่อศาลให้ศาลสั่งคืนของกลางที่ศาลสั่งริบแล้วจะต้องเป็นเจ้าของอันแท้จริง เมื่อผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของอันแท้จริงแล้วจะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งคืนกระบือของกลางที่ศาลสั่งริบแล้วไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในสัตว์พาหนะ: การโอนกรรมสิทธิ์ต้องจดทะเบียน มิฉะนั้นการซื้อขายเป็นโมฆะ เจ้าของอันแท้จริงเท่านั้นขอคืนของกลางได้
ผู้ร้องซื้อกระบือจากผู้ขาย แม้จะได้ชำระเงินไปบ้างแล้ว แต่ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายตกเป็นโมฆะ กระบือยังเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ขายอยู่
ผู้ที่จะเสนอคดีต่อศาลให้ศาลสั่งคืนของกลางที่ศาลสั่งริบแล้ว จะต้องเป็นเจ้าของอันแท้จริง เมื่อผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของอันแท้จริงแล้วจะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งคืนกระบือของกลางที่ศาลสั่งริบแล้วไม่ได้
ผู้ที่จะเสนอคดีต่อศาลให้ศาลสั่งคืนของกลางที่ศาลสั่งริบแล้ว จะต้องเป็นเจ้าของอันแท้จริง เมื่อผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของอันแท้จริงแล้วจะยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งคืนกระบือของกลางที่ศาลสั่งริบแล้วไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายเหมา การโอนกรรมสิทธิ์เมื่อทำสัญญา และอายุความของสิทธิเรียกร้อง
การซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการซื้อเหมาจำนวนทรัพย์ที่จะซื้อขายมีจำนวนแน่นอน ไม่จำเป็นต้องมีการตรวจนับอย่างใดอีก ฉะนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายกันย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกัน ส่วนเรื่องการส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายกันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์
การที่รถยนต์ที่ซื้อขายถูกยึดและเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างการยึด โดยผู้รับรักษาปล่อยให้ตากแดดฝนและไม่ดูแลรักษาให้ดี และรถกลายสภาพเป็นเศษเหล็กไปนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับรักษาทรัพย์ จะปรับว่าเป็นความผิดของผู้ขายไม่ได้
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายจะต้องจัดการโอนทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยเสร็จสิ้นก่อน จึงจะมีสิทธิรับเงินงวดที่ 2 แต่ปรากฏว่าเมื่อผู้ซื้อทราบว่าผู้ขายเป็นหนี้ ก. กลัว ก. จะยึดเอารถไป ผู้ซื้อจึงได้จัดการขายไปอย่างรถไม่มีทะเบียน ส่วนรถที่เหลือก็มีสภาพเป็นเศษเหล็ก ไม่สามารถทำการโอนทะเบียนกันอย่างรถยนต์ธรรมดาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำการโอนทะเบียนต่อไป และไม่ใช่ความผิดของผู้ขาย ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ยังค้างอยู่ให้แก่ผู้ขาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรค 2 ประกอบด้วยอนุมาตรา (1) เป็นเรื่องของอายุความที่จะใช้บังคับแก่บุคคลที่เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าขายสินค้าพ่อค้าตามความหมายของมาตรา 165 หมายถึง บุคคลที่ประกอบกิจการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระ โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยค้าไม่แปรรูปและน้ำตาล ทรัพย์ที่ทำการซื้อขายกันในคดีนี้ไม่ได้เป็นสินค้าที่โจทก์ทำการค้าและไม่ใช่วัตถุประสงค์ในกิจการค้าของโจทก์ด้วย จะถือว่าโจทก์เป็นพ่อค้ารถยนต์และอุปกรณ์ไม่ได้ การที่โจทก์ขายรถยนต์ให้แก่จำเลย ต้องถือว่าโจทก์ได้ขายไปในฐานะอย่างเจ้าของทรัพย์ธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะเป็นพ่อค้าขายสินค้านั้น ๆ จะนำเอาอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรค 2 มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องนำเอาอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปีมาใช้บังคับ
การที่รถยนต์ที่ซื้อขายถูกยึดและเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างการยึด โดยผู้รับรักษาปล่อยให้ตากแดดฝนและไม่ดูแลรักษาให้ดี และรถกลายสภาพเป็นเศษเหล็กไปนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับรักษาทรัพย์ จะปรับว่าเป็นความผิดของผู้ขายไม่ได้
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายจะต้องจัดการโอนทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยเสร็จสิ้นก่อน จึงจะมีสิทธิรับเงินงวดที่ 2 แต่ปรากฏว่าเมื่อผู้ซื้อทราบว่าผู้ขายเป็นหนี้ ก. กลัว ก. จะยึดเอารถไป ผู้ซื้อจึงได้จัดการขายไปอย่างรถไม่มีทะเบียน ส่วนรถที่เหลือก็มีสภาพเป็นเศษเหล็ก ไม่สามารถทำการโอนทะเบียนกันอย่างรถยนต์ธรรมดาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำการโอนทะเบียนต่อไป และไม่ใช่ความผิดของผู้ขาย ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ยังค้างอยู่ให้แก่ผู้ขาย
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรค 2 ประกอบด้วยอนุมาตรา (1) เป็นเรื่องของอายุความที่จะใช้บังคับแก่บุคคลที่เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าขายสินค้าพ่อค้าตามความหมายของมาตรา 165 หมายถึง บุคคลที่ประกอบกิจการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระ โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยค้าไม่แปรรูปและน้ำตาล ทรัพย์ที่ทำการซื้อขายกันในคดีนี้ไม่ได้เป็นสินค้าที่โจทก์ทำการค้าและไม่ใช่วัตถุประสงค์ในกิจการค้าของโจทก์ด้วย จะถือว่าโจทก์เป็นพ่อค้ารถยนต์และอุปกรณ์ไม่ได้ การที่โจทก์ขายรถยนต์ให้แก่จำเลย ต้องถือว่าโจทก์ได้ขายไปในฐานะอย่างเจ้าของทรัพย์ธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะเป็นพ่อค้าขายสินค้านั้น ๆ จะนำเอาอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรค 2 มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องนำเอาอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปีมาใช้บังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายเหมา การโอนกรรมสิทธิ์ และอายุความของสิทธิเรียกร้องค่าซื้อขาย
การซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.1 เป็นการซื้อเหมาจำนวนทรัพย์ที่จะซื้อขายมีจำนวนแน่นอนไม่จำเป็นต้องมีการตรวจนับอย่างใดอีกฉะนั้น กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ซื้อขายกันย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกัน ส่วนเรื่องการส่งมอบทรัพย์ที่ซื้อขายกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์
การที่รถยนต์ที่ซื้อขายถูกยึดและเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างการยึด โดยผู้รับรักษาปล่อยให้ตากแดดฝนและไม่ดูแลรักษาให้ดีและรถกลายสภาพเป็นเศษเหล็กไปนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับรักษาทรัพย์ จะปรับว่าเป็นความผิดของผู้ขายไม่ได้
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายจะต้องจัดการโอนทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยเสร็จสิ้นก่อน จึงจะมีสิทธิรับเงินงวดที่ 2 แต่ปรากฏว่าเมื่อผู้ซื้อทราบว่าผู้ขายเป็นหนี้ ก. กลัว ก. จะยึดเอารถไป ผู้ซื้อจึงได้จัดการขายไปอย่างรถไม่มีทะเบียน ส่วนรถที่เหลือก็มีสภาพเป็นเศษเหล็ก ไม่สามารถทำการโอนทะเบียนกันอย่างรถยนต์ธรรมดาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำการโอนทะเบียนต่อไป และไม่ใช่ความผิดของผู้ขายผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ยังค้างอยู่ให้แก่ผู้ขาย
ตามประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรคสองประกอบด้วยอนุมาตรา (1) เป็นเรื่องของอายุความที่จะใช้บังคับแก่บุคคลที่เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าขายสินค้าพ่อค้าตามความหมายของมาตรา 165 หมายถึงบุคคลที่ประกอบกิจการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยค้าไม้แปรรูปและน้ำตาล ทรัพย์ที่ทำการซื้อขายกันในคดีนี้ ไม่ได้เป็นสินค้าที่โจทก์ทำการค้าและไม่ใช่วัตถุประสงค์ในกิจการค้าของโจทก์ด้วย จะถือว่าโจทก์เป็นพ่อค้ารถยนต์และอุปกรณ์ไม่ได้การที่โจทก์ขายรถยนต์ให้แก่จำเลย ต้องถือว่าโจทก์ได้ขายไปในฐานะอย่างเจ้าของทรัพย์ธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะเป็นพ่อค้าขายสินค้านั้น ๆจะนำเอาอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรคสอง มาใช้บังคับไม่ได้ต้องนำเอาอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปีมาใช้บังคับ
การที่รถยนต์ที่ซื้อขายถูกยึดและเกิดความเสียหายขึ้นในระหว่างการยึด โดยผู้รับรักษาปล่อยให้ตากแดดฝนและไม่ดูแลรักษาให้ดีและรถกลายสภาพเป็นเศษเหล็กไปนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของผู้รับรักษาทรัพย์ จะปรับว่าเป็นความผิดของผู้ขายไม่ได้
ตามสัญญาซื้อขาย ผู้ขายจะต้องจัดการโอนทะเบียนรถยนต์ให้จำเลยเสร็จสิ้นก่อน จึงจะมีสิทธิรับเงินงวดที่ 2 แต่ปรากฏว่าเมื่อผู้ซื้อทราบว่าผู้ขายเป็นหนี้ ก. กลัว ก. จะยึดเอารถไป ผู้ซื้อจึงได้จัดการขายไปอย่างรถไม่มีทะเบียน ส่วนรถที่เหลือก็มีสภาพเป็นเศษเหล็ก ไม่สามารถทำการโอนทะเบียนกันอย่างรถยนต์ธรรมดาได้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำการโอนทะเบียนต่อไป และไม่ใช่ความผิดของผู้ขายผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคาที่ยังค้างอยู่ให้แก่ผู้ขาย
ตามประมวลแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรคสองประกอบด้วยอนุมาตรา (1) เป็นเรื่องของอายุความที่จะใช้บังคับแก่บุคคลที่เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าขายสินค้าพ่อค้าตามความหมายของมาตรา 165 หมายถึงบุคคลที่ประกอบกิจการค้าโดยซื้อสินค้ามาและขายไปเป็นปกติธุระโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าโดยค้าไม้แปรรูปและน้ำตาล ทรัพย์ที่ทำการซื้อขายกันในคดีนี้ ไม่ได้เป็นสินค้าที่โจทก์ทำการค้าและไม่ใช่วัตถุประสงค์ในกิจการค้าของโจทก์ด้วย จะถือว่าโจทก์เป็นพ่อค้ารถยนต์และอุปกรณ์ไม่ได้การที่โจทก์ขายรถยนต์ให้แก่จำเลย ต้องถือว่าโจทก์ได้ขายไปในฐานะอย่างเจ้าของทรัพย์ธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะเป็นพ่อค้าขายสินค้านั้น ๆจะนำเอาอายุความ 5 ปี ตามมาตรา 165 วรรคสอง มาใช้บังคับไม่ได้ต้องนำเอาอายุความทั่วไปตามมาตรา 164 ซึ่งมีกำหนด 10 ปีมาใช้บังคับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ก่อนการโอนกรรมสิทธิ์: การโอนหลังการยึดไม่ผูกพันโจทก์
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยสุจริตก่อนโจทก์นำยึดที่พิพาทนี้ หลังจากโจทก์นำยึดที่พิพาทแล้วจำเลยจึงไปทำนิติกรรมโอนที่พิพาทให้ผู้ร้อง ดังนี้ ย่อมถือว่ากรรมสิทธิ์ในที่พิพาทยังไม่โอนไปยังผู้ร้องในขณะที่ถูกยึด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1070/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ก่อนโอนกรรมสิทธิ์: นิติกรรมหลังยึดใช้ยันโจทก์ไม่ได้
จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องโดยสุจริตก่อนโจทก์นำยึดที่พิพาทนี้ หลังจากโจทก์นำยึดที่พิพาทแล้วจำเลยจึงไปทำนิติกรรมโอนที่พิพาทให้ผู้ร้อง ดังนี้ย่อมถือว่ากรรมสิทธิ์ในที่พิพาทยังไม่โอนไปยังผู้ร้องในขณะที่ถูกยึด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของผู้ร้องที่ศาลพิพากษาให้โอนกรรมสิทธิ์ ย่อมได้รับการคุ้มครอง แม้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอน และโจทก์มิอาจบังคับคดียึดได้
ในระหว่างที่โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นในคดีที่ผู้ร้องคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ได้พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่ผู้ร้อง คำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจึงย่อมมีผลผูกพันทั้งฝ่ายจำเลยและผู้ร้องนับตั้งแต่ได้มีคำพิพากษาดังกล่าวจนกระทั่งถึงวันที่คำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย ดังนั้น แม้ผู้ร้องและจำเลยจะได้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวของศาลชั้นต้นและคดียังไม่ถึงที่สุดก็ตาม หากไม่ปรากฏว่าคำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรืองดเสียแต่ประการใด ผู้ร้องก็ย่อมอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของผู้ร้องตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ โจทก์ไม่มีสิทธิยึดที่พิพาท แม้ว่าที่พิพาทจะยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็ตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินตามคำพิพากษา vs. การบังคับคดี: คำพิพากษาให้โอนกรรมสิทธิ์มีผลผูกพันก่อนการบังคับคดี
ในระหว่างที่โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมนั้น ปรากฏว่าศาลชั้นต้นในคดีที่ผู้ร้องคดีนี้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยได้พิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้แก่ผู้ร้องคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจึงย่อมมีผลผูกพันทั้งฝ่ายจำเลยและผู้ร้องนับตั้งแต่ได้มีคำพิพากษาดังกล่าวจนกระทั่งถึงวันที่คำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย ดังนั้น แม้ผู้ร้องและจำเลยจะได้อุทธรณ์คำพิพากษาดังกล่าวของศาลชั้นต้นและคดียังไม่ถึงที่สุดก็ตามหากไม่ปรากฏว่าคำพิพากษาดังกล่าวได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรืองดเสียแต่ประการใด ผู้ร้องก็ย่อมอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของผู้ร้องตามคำพิพากษาดังกล่าวได้ โจทก์ไม่มีสิทธิยึดที่พิพาท แม้ว่าที่พิพาทจะยังมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์อยู่ก็ตาม