พบผลลัพธ์ทั้งหมด 886 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1012/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังผู้ทรงเช็ค แม้คำฟ้องและคำเบิกความมีรายละเอียดต่างกัน หากสาระสำคัญไม่ขัดแย้งกัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกเช็คพิพาทมอบให้จำเลยที่ 2ต่อมาจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทและนำไปแลกเงินสดจากโจทก์ แต่โจทก์เบิกความว่าจำเลยที่ 1 นำเช็คพิพาทไปแลกเงินสดจากโจทก์ เมื่อจำเลยทั้งสองรับว่าจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็คพิพาทและจำเลยที่ 2 สลักหลังเช็คพิพาทโดยจำเลยที่ 1 ได้นำเช็คพิพาทไปมอบให้โจทก์เป็นการแลกเช็คและรับเงินสดไปจากโจทก์จริง ดังนี้ข้อแตกต่างระหว่างคำฟ้องกับคำเบิกความของโจทก์ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญที่จะมีผลให้รับฟังว่าโจทก์ไม่ได้รับเช็คพิพาทไว้เพื่อชำระหนี้ โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ได้นำเช็คพิพาทไปชำระหนี้บุคคลผู้มีชื่อ แต่โจทก์เบิกความว่าโจทก์ได้นำเช็คพิพาทไปขายให้ ต. นั้น คำเบิกความของโจทก์หมายความว่าโจทก์นำเช็คพิพาทไปมอบให้บุคคลผู้มีชื่อเพื่อชำระหนี้ทำนองเดียวกับที่โจทก์กล่าวในคำฟ้อง ดังนี้หาเป็นการแตกต่างกันไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 900/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอคุ้มครองประโยชน์ต้องอยู่ในขอบเขตคำฟ้อง การขอให้จำเลยวางเงินรายได้จากการทำสวนยางเป็นการขอเกินคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของสวนยางพิพาทร่วมกับกองมรดกของ จ. เท่านั้น มิได้ฟ้องขอเรียกค่าเสียหายมาด้วยการที่โจทก์ยื่นคำขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาโดยขอให้ตั้งผู้จัดการสวนยางพิพาทให้เข้ากรีดยางแล้วนำรายได้ 7 ใน 8 ส่วนมาวางศาลหรือมีคำสั่งให้โจทก์จำเลยประมูลรายได้จากการทำสวนยางหากฝ่ายใดชนะให้ฝ่ายนั้นเข้าทำประโยชน์ในสวนยางแปลงพิพาทแล้วนำเงินรายได้ที่ประมูลมาวางศาล เป็นการยื่นคำขอคุ้มครองประโยชน์เกินกว่าคำขอในคำฟ้อง เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น แม้โจทก์จะเป็นฝ่ายชนะคดีก็ไม่อาจขอให้ศาลบังคับตามคำขอได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5976/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนของคำฟ้อง: แม้คำขอท้ายฟ้องผิดพลาด ศาลสามารถบังคับตามสภาพแห่งข้อหาที่บรรยายไว้ได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ออกเช็คและจำเลยที่ 2 ที่ 3สลักหลังเช็คชำระหนี้ให้โจทก์ โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยทั้งสามจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามที่เป็นผู้สั่งจ่ายและสลักหลังเช็ค โดยให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ คำฟ้องโจทก์จึงเป็นการกล่าวถึงสภาพแห่งข้อหาและคำขอให้บังคับแก่จำเลยทั้งสามตลอดมาแม้คำขอท้ายฟ้องจะกล่าวว่าให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คก็เป็นเรื่องพิมพ์ผิดพลาด ซึ่งเมื่อรวมใจความย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าโจทก์ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดชำระเงินแก่โจทก์นั่นเองศาลบังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามความรับผิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4729/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการวินิจฉัยนอกฟ้อง: ศาลต้องพิจารณาเฉพาะประเด็นที่ปรากฏในคำฟ้องและคำให้การ
โจทก์มิได้กล่าวในฟ้องว่าสัญญาขายฝากที่ดิน ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นโมฆะ เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานก็มิได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้ฉะนั้นที่โจทก์จำเลยนำสืบถึงปัญหาดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงนอกคำฟ้องและคำให้การ ไม่ใช่เป็นข้อเท็จจริงแห่งคดี แม้ว่าปัญหาดังกล่าวจะเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนซึ่งศาลอาจยกขึ้นวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีเองได้ แต่ก็เป็นข้อกฎหมายที่มิได้เกิดจากข้อเท็จจริงในประเด็นในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ไม่สมควรที่จะยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3863/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องข่มขืนโทรมหญิงต้องบรรยายองค์ประกอบความผิดครบถ้วน การร่วมกระทำผิดและการเข้าลักษณะโทรมหญิง
องค์ประกอบความผิดในมาตรา 276 วรรคสอง ส่วนที่เป็นความผิดฐานกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จะต้องมีการร่วมกันกระทำผิดประการหนึ่งและการกระทำที่ร่วมกันนั้นเข้าลักษณะอันเป็นการโทรมหญิงอีกประการหนึ่ง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันและผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวบรรยายมาให้เห็นเฉพาะส่วนที่ได้มีการร่วมกันกระทำผิดอย่างไรเท่านั้น ไม่มีข้อบรรยายที่เป็นการยืนยันให้เห็นเป็นการชัดแจ้งถึงองค์ประกอบในส่วนที่สอง เพียงข้อความตามฟ้องที่ว่าผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายมิใช่ข้อที่จะแสดงให้เห็นเป็นการแน่ชัดได้ว่ามีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดโดยครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) กำหนดไว้จึงไม่เป็นคำฟ้องที่จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3863/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิงต้องระบุองค์ประกอบการร่วมกันกระทำผิดและลักษณะเป็นการโทรมหญิงชัดเจน
องค์ประกอบความผิดในมาตรา 276 วรรคสอง ส่วนที่เป็นความผิดฐานกระทำชำเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จะต้องมีการร่วมกันกระทำผิดประการหนึ่งและการกระทำที่ร่วมกันนั้นเข้าลักษณะอันเป็นการโทรมหญิงอีกประการหนึ่ง โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันและผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวบรรยายมาให้เห็นเฉพาะส่วนที่ได้มีการร่วมกันกระทำผิดอย่างไรเท่านั้น ไม่มีข้อบรรยายที่เป็นการยืนยันให้เห็นเป็นการชัดแจ้งถึงองค์ประกอบในส่วนที่สอง เพียงข้อความตามฟ้องที่ว่าผลัดกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายมิใช่ข้อที่จะแสดงให้เห็นเป็นการแน่ชัดได้ว่ามีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการบรรยายการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดโดยครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) กำหนดไว้จึงไม่เป็นคำฟ้องที่จะลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276วรรคสองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3321/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาความรับผิดทางอาญาในฐานะตัวการร่วม กรณีทำร้ายร่างกายและประเด็นการวินิจฉัยเกินเลยคำฟ้อง
แม้โจทก์จะมิได้ยกเหตุที่จำเลยกับพวกวิ่งไล่ทำร้ายโจทก์ร่วมขึ้นอ้างในอุทธรณ์ว่าเป็นการชี้เจตนาของจำเลยว่ายอมรับเอาผลการกระทำ ของพวกจำเลยมาเป็นการกระทำของตนเอง จำเลยจึงเป็นตัวการในการกระทำความผิดด้วย แต่โจทก์ก็อุทธรณ์ให้จำเลยรับผิดฐาน เป็นตัวการ การที่ศาลอุทธรณ์ยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยตามคำเบิกความของพยาน เพื่อชี้ให้เห็นว่าจำเลยร่วมเป็นตัวการด้วยจึงเป็นการวินิจฉัยตามคำฟ้องอุทธรณ์ จำเลยชกที่กก หูของ ส. โจทก์ร่วม 1 ที แล้วพวกของจำเลยวิ่งเข้ามาทำร้ายพวกโจทก์ร่วม โดยใช้มีดฟันและใช้ขวดตี เป็นเหตุให้ค.โจทก์ร่วมอีกคนหนึ่งได้รับอันตรายแก่กายสาหัสส.และพ.โจทก์ร่วม ได้รับอันตรายแก่กาย โดยจำเลยกับพวกมิได้นัดหมายให้ช่วยกันทำร้าย หรือจำเลยบอกให้พวกทำร้ายโจทก์ร่วม และเมื่อโจทก์ร่วมบางคนวิ่งหนีจำเลยหรือพวกจำเลยก็มิได้เข้าไปทำร้ายซ้ำเติมค. โจทก์ร่วมซึ่งได้รับบาดเจ็บนอนอยู่หน้าร้านจำเลยอีก แต่วิ่งออกจากร้านตาม พ. และพวกโจทก์ร่วมไปโดยมิได้แสดงท่าทางว่าจะทำร้ายอีกแต่อย่างใด พฤติการณ์ดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมในความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3151/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารหลักฐานการซ่อมแซม แม้ไม่มีการรับรอง ก็ใช้ได้หากมีพยานยืนยัน และการคิดดอกเบี้ยตามคำฟ้อง
ข้อเท็จจริงเชื่อ ได้ว่าโจทก์ได้จัดการซ่อมรถแทรกเตอร์ให้แก่จำเลยมีรายการตามเอกสารจริง แม้เอกสารนั้นเป็นเอกสารที่โจทก์ทำขึ้นเอง โดยไม่มีจำเลยหรือตัวแทนของจำเลยรับรองความถูกต้องกรณีดังกล่าวก็ไม่อยู่ในบังคับกฎหมายให้จำเลยหรือตัวแทนของจำเลยต้องลงชื่อรับรองความถูกต้อง ศาลรับฟังเอกสารนั้นได้ คำฟ้องโจทก์ขอให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ค้างชำระจนถึงวันที่จำเลยจะชำระเสร็จ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่จำเลยผิดนัดชำระครั้งสุดท้าย จึงไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอแต่อย่างใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องร้องกรณีเบิกความเท็จต้องเชื่อมโยงกับความเสียหายที่โจทก์ได้รับ โดยข้อเท็จจริงที่นำสืบต้องอยู่ในคำฟ้อง
ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบนอกเหนือจากที่กล่าวในฟ้องจะนำมาพิจารณาประกอบคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ เมื่อคำเบิกความของจำเลยทั้งสองบางส่วนไม่เป็นเท็จ และบางส่วนไม่ทำให้โจทก์ได้ รับความเสียหาย คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลที่ศาลจะประทับฟ้อง ไว้พิจารณา.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้บรรยายฐานะผู้ฟ้อง หากบรรยายข้อหาและคำขอชัดเจนเพียงพอ
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยตกลงให้โจทก์ทั้งห้ากับพวกเช่าโรงแรมพิพาทโดยโจทก์จ่ายเงินค่าตอบแทนให้จำเลยเป็นเงิน1,000,000 บาท จำเลยผิดสัญญานำโรงแรมพิพาทไปให้บุคคลอื่นเช่า โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอบังคับให้จำเลยคืนเงินจำนวน1,000,000 บาท แก่โจทก์ทั้งห้า เป็นคำฟ้องที่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 172 หาจำต้องบรรยายถึงฐานะตนเองมาในคำฟ้องด้วยไม่.