พบผลลัพธ์ทั้งหมด 399 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6740/2553 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารจ่ายเช็คปลอมเกินบัญชี ผู้เสียหายไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากธนาคาร
โจทก์เก็บสมุดเช็คไว้ในลิ้นชักโต๊ะในห้องทำงานซึ่งเป็นห้องส่วนตัว มีกระจกโดยรอบ ปกติไม่มีผู้ใดเข้าไป ผู้ที่ลักเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปคือ ศ. และ พ. ซึ่งเป็นลูกจ้างในร้านของโจทก์นั่นเอง ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวถือได้ว่าโจทก์ได้เก็บรักษาเช็คพิพาทดังเช่นวิญญูชนจะพึงกระทำแล้ว ส่วนการที่โจทก์เคยมอบหมายให้บุคคลอื่นกรอกข้อความในเช็คแทนนั้น ก็หาใช่เป็นข้อที่แสดงว่าโจทก์ปล่อยปละละเลยไม่เก็บเช็คพิพาทไว้ให้ดีไม่ โจทก์จึงมิใช่เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่ออันจะถือว่าเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นต่อสู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์เป็นที่ไว้วางใจของประชาชนการจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้มาขอเบิกเงินจากธนาคารเป็นงานส่วนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งจะต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความชำนาญในการตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คว่าเป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายหรือไม่ยิ่งไปกว่าบุคคลธรรมดา ทั้งต้องมีความระมัดระวังในการจ่ายเงินตามเช็คยิ่งกว่าวิญญูชนทั่ว ๆ ไป ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นลายมือชื่อปลอมมิใช่ลายมือชื่อของโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่ผู้ที่นำมาเรียกเก็บเงินทั้งที่มีตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ที่ให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 กับมีเช็คอีกหลายฉบับที่โจทก์เคยสั่งจ่ายไว้อยู่ที่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการขาดความระมัดระวังของจำเลยที่ 1 ผู้ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ถือได้ว่าการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทดังกล่าวเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 เอง ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะมีการนำเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปเรียกเก็บเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยที่ 1 เงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยที่ 1 เงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ไม่มีจ่ายเงินตามเช็ค แต่จำเลยที่ 1 ได้อนุมัติให้จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปก่อน ดังนี้ เงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับจึงเป็นเงินของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายที่เกิดแก่จำเลยที่ 1 เอง เมื่อโจทก์ไม่ใช่เป็นผู้สั่งจ่ายตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธินำเงินจำนวนนี้ไปลงรายการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ ส่วนโจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแก่โจทก์ ดังนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนรายการลงบัญชีเงินฝากของโจทก์ในบัญชีกระแสรายวันในส่วนที่เกี่ยวกับเช็คพิพาททั้งสองฉบับ แม้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์ หาได้ฟ้องขอให้เพิกถอนรายการที่ลงบัญชีดังกล่าว แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำเงินจำนวนตามเช็คไปลงรายการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนรายการดังกล่าวได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเงินของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ร่วมกันคืนเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ได้
จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์เป็นที่ไว้วางใจของประชาชนการจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้มาขอเบิกเงินจากธนาคารเป็นงานส่วนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งจะต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความชำนาญในการตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คว่าเป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายหรือไม่ยิ่งไปกว่าบุคคลธรรมดา ทั้งต้องมีความระมัดระวังในการจ่ายเงินตามเช็คยิ่งกว่าวิญญูชนทั่ว ๆ ไป ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นลายมือชื่อปลอมมิใช่ลายมือชื่อของโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่ผู้ที่นำมาเรียกเก็บเงินทั้งที่มีตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ที่ให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 กับมีเช็คอีกหลายฉบับที่โจทก์เคยสั่งจ่ายไว้อยู่ที่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการขาดความระมัดระวังของจำเลยที่ 1 ผู้ประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ถือได้ว่าการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทดังกล่าวเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 เอง ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะมีการนำเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปเรียกเก็บเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยที่ 1 เงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยที่ 1 เงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ไม่มีจ่ายเงินตามเช็ค แต่จำเลยที่ 1 ได้อนุมัติให้จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปก่อน ดังนี้ เงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับจึงเป็นเงินของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายที่เกิดแก่จำเลยที่ 1 เอง เมื่อโจทก์ไม่ใช่เป็นผู้สั่งจ่ายตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธินำเงินจำนวนนี้ไปลงรายการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ ส่วนโจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแก่โจทก์ ดังนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนรายการลงบัญชีเงินฝากของโจทก์ในบัญชีกระแสรายวันในส่วนที่เกี่ยวกับเช็คพิพาททั้งสองฉบับ แม้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์ หาได้ฟ้องขอให้เพิกถอนรายการที่ลงบัญชีดังกล่าว แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำเงินจำนวนตามเช็คไปลงรายการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนรายการดังกล่าวได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเงินของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ร่วมกันคืนเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6740/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารจ่ายเช็คผิดพลาดจากเงินของตนเอง โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินคืน
โจทก์เก็บสมุดเช็คไว้ในลิ้นชักโต๊ะในห้องทำงานซึ่งเป็นห้องส่วนตัว มีกระจกโดยรอบ ปกติไม่มีผู้ใดเข้าไป ผู้ที่ลักเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปคือลูกจ้างในร้านของโจทก์เองถือได้ว่าโจทก์ได้เก็บรักษาเช็คพิพาทดังเช่นวิญญูชนจะพึงกระทำแล้ว ส่วนการที่โจทก์เคยมอบหมายให้บุคคลอื่นกรอกข้อความในเช็คแทนนั้น ก็หาใช่เป็นข้อที่แสดงว่าโจทก์ปล่อยปละละเลยไม่เก็บเช็คพิพาทไว้ให้ดีไม่ โจทก์จึงมิใช่เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่ออันจะถือว่าเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมขึ้นต่อสู้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน การจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้มาขอเบิกเงินจากธนาคารเป็นงานส่วนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งจะต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความชำนาญในการตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คว่าเป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายหรือไม่ยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา ทั้งต้องมีความระมัดระวังในการจ่ายเงินตามเช็คยิ่งกว่าวิญญูชนทั่วๆ ไป เมื่อลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นลายมือชื่อปลอมมิใช่ลายมือชื่อของโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่ผู้ที่นำมาเรียกเก็บเงินทั้งที่มีตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ที่ให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 กับมีเช็คอีกหลายฉบับที่โจทก์เคยสั่งจ่ายไว้อยู่ที่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการขาดความระมัดระวังของจำเลยที่ 1 ผู้ประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ถือได้ว่าการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทดังกล่าวเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 เองขณะมีการนำเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปเรียกเก็บเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยที่ 1 เงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ไม่มีจ่ายเงินตามเช็คแต่จำเลยที่ 1 ได้อนุมัติให้จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปก่อน เงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับจึงเป็นเงินของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายที่เกิดแก่จำเลยที่ 1 เอง เมื่อโจทก์ไม่ใช่เป็นผู้สั่งจ่ายตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธินำเงินจำนวนนี้ไปลงรายการในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ ส่วนโจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแก่โจทก์ ดังนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนรายการลงบัญชีเงินฝากของโจทก์ในบัญชีกระแสรายวันในส่วนที่เกี่ยวกับเช็คพิพาททั้งสองฉบับ แม้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์ หาได้ฟ้องขอให้เพิกถอนรายการที่ลงบัญชีดังกล่าว แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำเงินจำนวนตามเช็คไปลงรายการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนรายการดังกล่าวได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้อง สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเงินของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ร่วมกันคืนเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน การจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้มาขอเบิกเงินจากธนาคารเป็นงานส่วนหนึ่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งจะต้องปฏิบัติอยู่เป็นประจำ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความชำนาญในการตรวจสอบลายมือชื่อในเช็คว่าเป็นลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายหรือไม่ยิ่งกว่าบุคคลธรรมดา ทั้งต้องมีความระมัดระวังในการจ่ายเงินตามเช็คยิ่งกว่าวิญญูชนทั่วๆ ไป เมื่อลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นลายมือชื่อปลอมมิใช่ลายมือชื่อของโจทก์ การที่จำเลยที่ 1 จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่ผู้ที่นำมาเรียกเก็บเงินทั้งที่มีตัวอย่างลายมือชื่อของโจทก์ที่ให้ไว้แก่จำเลยที่ 1 กับมีเช็คอีกหลายฉบับที่โจทก์เคยสั่งจ่ายไว้อยู่ที่จำเลยที่ 1 จึงเป็นการขาดความระมัดระวังของจำเลยที่ 1 ผู้ประกอบธุรกิจการธนาคารพาณิชย์ ถือได้ว่าการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทดังกล่าวเป็นความบกพร่องของจำเลยที่ 1 เองขณะมีการนำเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปเรียกเก็บเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ที่ธนาคารจำเลยที่ 1 เงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ไม่มีจ่ายเงินตามเช็คแต่จำเลยที่ 1 ได้อนุมัติให้จ่ายเงินตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปก่อน เงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับจึงเป็นเงินของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์ ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นความเสียหายที่เกิดแก่จำเลยที่ 1 เอง เมื่อโจทก์ไม่ใช่เป็นผู้สั่งจ่ายตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับ จำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีสิทธินำเงินจำนวนนี้ไปลงรายการในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ ส่วนโจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับแก่โจทก์ ดังนั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรให้เพิกถอนรายการลงบัญชีเงินฝากของโจทก์ในบัญชีกระแสรายวันในส่วนที่เกี่ยวกับเช็คพิพาททั้งสองฉบับ แม้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินแก่โจทก์ หาได้ฟ้องขอให้เพิกถอนรายการที่ลงบัญชีดังกล่าว แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธินำเงินจำนวนตามเช็คไปลงรายการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของโจทก์ ศาลมีอำนาจพิพากษาให้เพิกถอนรายการดังกล่าวได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้อง สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเงินที่จำเลยที่ 1 จ่ายไปตามเช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเงินของจำเลยที่ 1 มิใช่ของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้ร่วมกันคืนเงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 624/2553 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารมีสิทธิบริหารจัดการเงินฝากลูกค้าได้ แต่ต้องคืนเงินตามจำนวนที่รับฝาก การเบิกถอนเงินไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์
การกระทำที่จะครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตแต่กรณีตามฟ้องของโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ ปรากฏว่าเงินจำนวนที่จำเลยทั้งสองเบิกถอนไปนั้นเป็นเงินที่อยู่ในบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 1 ที่ฝากไว้กับจำเลยทั้งสองเงินจำนวนดังกล่าวจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์และอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้รับฝากย่อมมีสิทธิที่จะบริหารจัดการเงินฝากจำนวนดังกล่าวนั้นประการใดก็ได้ จำเลยทั้งสองคงมีหน้าที่เพียงต้องคืนเงินฝากตามจำนวนที่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นลูกค้านำเข้าฝากไว้เท่านั้น โดยจำเลยทั้งสองไม่จำต้องส่งคืนเป็นเงินจำนวนอันเดียวกับที่ฝากไว้ ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองเบิกถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ 1 จึงมิใช่เป็นการเอาทรัพย์ของโจทก์ทั้งสองไป การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์
ข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ ฯ มาตรา 12 (9) บัญญัติห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดไว้ว่า "กระทำการใด ๆ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือแก่ประโยชน์ของประชาชนหรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรมหรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขันในระบบสถาบันการเงินหรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ..." เป็นการบัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจและการเงินของประเทศกับเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมอันเป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนไม่ใช่ผู้เสียหายในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ ฯ มาตรา 12 (9) โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ ฯ มาตรา 12 (9) บัญญัติห้ามมิให้ธนาคารพาณิชย์กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นความผิดไว้ว่า "กระทำการใด ๆ อันอาจก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจของประเทศหรือแก่ประโยชน์ของประชาชนหรือเป็นการเอาเปรียบลูกค้าหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างไม่เป็นธรรมหรือเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาหรือต่อการแข่งขันในระบบสถาบันการเงินหรือเป็นการผูกขาดหรือจำกัดตัดตอนทางเศรษฐกิจ..." เป็นการบัญญัติขึ้นเพื่อควบคุมและกำกับการประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์เพื่อประโยชน์แก่การเศรษฐกิจและการเงินของประเทศกับเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนเป็นส่วนรวมอันเป็นความผิดที่รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นเอกชนไม่ใช่ผู้เสียหายในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ ฯ มาตรา 12 (9) โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6083/2553 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสืออายัดมีผลผูกพันธนาคาร แม้คดีอาญาจะยกฟ้อง ธนาคารต้องส่งเงินให้เจ้าพนักงานบังคับคดี
จำเลยนำหนังสือรับรองยอดเงินฝากธนาคารผู้คัดค้าน สาขาถนนสาธรประเภทเงินฝากประจำของจำเลยมาประกอบการขอปล่อยตัวชั่วคราว ว. ต่อศาลแขวงธนบุรี เมื่อศาลแขวงธนบุรีมีหนังสืออายัดเงินฝากไปยังธนาคารผู้คัดค้าน สาขาถนนสาธรแล้ว ธนาคารผู้คัดค้านแจ้งว่าได้รับการแจ้งอายัดสมุดเงินฝากของจำเลยแล้ว ธนาคารผู้คัดค้านจะระงับการจำหน่ายจ่ายโอนและเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในสมุดเงินฝากประจำของจำเลยไว้ตามคำสั่งศาลจนกว่าจะได้รับการแจ้งเปลี่ยนแปลงเป็นหนังสือจากศาลเป็นอย่างอื่น ย่อมเป็นการแสดงโดยชัดแจ้งอยู่แล้วว่าธนาคารผู้คัดค้านทราบดีว่าจำเลยได้นำเงินในบัญชีเงินฝากไปใช้เป็นหลักประกันการขอปล่อยตัวชั่วคราว ว. และธนาคารผู้คัดค้านยังมีภาระผูกพันที่จะต้องระงับการจำหน่ายจ่ายโอนและเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในสมุดเงินฝากประจำของจำเลยดังกล่าวไว้ตามคำสั่งศาลแขวงธนบุรีจนกว่าจะได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นหนังสือจากศาลแขวงธนบุรีเป็นอย่างอื่น ดังนั้น ตราบใดที่ธนาคารผู้คัดค้านยังไม่ได้รับแจ้งการเปลี่ยนแปลงเป็นหนังสือจากศาลแขวงธนบุรีเป็นอย่างอื่น หนังสืออายัดของศาลแขวงธนบุรี จึงยังมีผลพันธนาคารผู้คัดค้านอยู่ ธนาคารผู้คัดค้านจึงไม่สามารถจำหน่ายจ่ายโอนและเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ รวมถึงไม่มีสิทธินำเงินในสมุดเงินฝากประจำของจำเลยดังกล่าวไปหักกลบลบหนี้กับบัญชีบัตรเครดิตของจำเลยที่เป็นลูกหนี้ของธนาคารผู้คัดค้านได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3890/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารเปลี่ยนเช็คขีดคร่อมเป็นตั๋วแลกเงิน ละเมิดต่อผู้รับเช็ค เจ้าของเช็คมีส่วนผิด
เช็คขีดคร่อมและห้ามแปลี่ยนมือที่ระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" ออก จะเรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นได้ก็แต่เฉพาะเข้าบัญชีบัญชีของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตา 994 การที่ธนาคารจำเลยที่ 1 ผู้รับเช็คต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว แต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของโจทก์นำเช็คดังกล่าวมาขอเปลี่ยนเป็นตั๋วแลกเงินจากพนักงานของจำเลยที่ 1 โดยแจ้งว่า การนำเช็คที่มีชื่อโจทก์เรียกเก็บเงินตามวิธีการปกติจะทำให้เกิดการล่าช้าเนื่องจากจะต้องใช้เวลาในการเรียกเก็บเงินตามเช็คประมาณ 2 สัปดาห์ และพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้ดำเนินการตามที่จำเลยที่ 2 ขอ โดยเปลี่ยนเช็คดังกล่าวเป็นตั๋วแลกเงินจึงเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายและเป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 สามารถนำตั๋วแลกเงินดังกล่าวไปหมุนเวียนชำระค่าสินค้าของลูกค้ารายอื่นของโจทก์ แม้มีการนำเงินตามเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีของโจทก์แล้ว แต่การกระทำดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ทำให้โจทก์ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นการชำระค่าสินค้าของงวดเดือนใด ทั้งเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินค่าสินค้าในงวดที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ง. ชำระค่าสินค้าได้ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์เป็นผู้นำเสียเช็คที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ง. สั่งจ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วแลกเงินจากจำเลยที่ 1 และแจ้งต่อพนักงานจำเลยที่ 1 ว่าตนเป็นพนักงานของโจทก์ และแจ้งว่าการนำเช็คที่มีชื่อโจทก์เรียกเก็บเงินตามวิธีการปกติจะทำให้เกิดการล่าช้าจนทำให้พนักงานของจำเลยที่ 1 เชื่อตามที่จำเลยที่ 2 แจ้ง ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนที่ทำให้เกิดความเสียหายด้วยเนื่องจากไม่ดูแล ตรวจสอบและควบคุมการกระทำของจำเลยที่ 2 ให้ดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าจำเลยที่ 2 มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงินหรือรับชำระด้วยเช็คจากลูกค้า กลับปล่อยปละละเลยจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายถือได้ว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์ผู้ต้องเสีหายประกอบด้วยตามป.พ.พ. มาตรา 442
จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของโจทก์เป็นผู้นำเสียเช็คที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ง. สั่งจ่ายเพื่อชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วแลกเงินจากจำเลยที่ 1 และแจ้งต่อพนักงานจำเลยที่ 1 ว่าตนเป็นพนักงานของโจทก์ และแจ้งว่าการนำเช็คที่มีชื่อโจทก์เรียกเก็บเงินตามวิธีการปกติจะทำให้เกิดการล่าช้าจนทำให้พนักงานของจำเลยที่ 1 เชื่อตามที่จำเลยที่ 2 แจ้ง ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนที่ทำให้เกิดความเสียหายด้วยเนื่องจากไม่ดูแล ตรวจสอบและควบคุมการกระทำของจำเลยที่ 2 ให้ดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าจำเลยที่ 2 มีหน้าที่เกี่ยวกับการรับเงินหรือรับชำระด้วยเช็คจากลูกค้า กลับปล่อยปละละเลยจนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายถือได้ว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์ผู้ต้องเสีหายประกอบด้วยตามป.พ.พ. มาตรา 442
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2075/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการสมคบร่วมปลอมเอกสารและเบียดบังทรัพย์ ธนาคาร
จำเลยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการสาขาของธนาคารผู้เสียหายกรอกข้อความลงในหนังสือสัญญากู้เงินโดยใช้เงินฝากเป็นประกันและหนังสือยินยอมมอบเงินฝากเพื่อเป็นหลักประกันการชำระเงินกู้และหรือเป็นหลักประกันการออกหนังสือค้ำประกันที่มีลายมือชื่อปลอมของ ห. และ ต. แล้วจำเลยลงลายมือชื่อเป็นผู้ตรวจเอกสารดังกล่าวโดย ส. ผู้จัดการสาขาเป็นผู้อนุมัติเงินกู้ นำไปให้พนักงานการเงินผู้จ่ายเงินตรวจจ่ายเงินให้จำเลยรับเงินไปด้วยตนเอง และนำเงินไปมอบให้ ส. แล้วมีการเก็บเอกสารต่างๆ ไว้ในตู้นิรภัยของธนาคาร โดยไม่มีสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของ ห. และ ต. อยู่ด้วยตามขั้นตอนและข้อบังคับของธนาคาร แสดงว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นกับ ส. เป็นการวางแผนกันมาก่อนและมีการแบ่งหน้าที่กันทำ จำเลยจึงเป็นตัวการสมคบร่วมกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4, 11 และ ป.อ. มาตรา 268, 352, 354 กับ ส. มาตั้งแต่ต้น มิใช่ผู้สนับสนุน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13113/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารต้องรับผิดชำระเงินค่าเวนคืนที่ผิดพลาด หากจ่ายเงินเข้าบัญชีที่ไม่ตรงกับชื่อผู้รับเงินในเช็ค
ที่ดินของโจทก์ที่ 1 และ ก. ถูกเวนคืนทางกรุงเทพมหานครจ่ายเงินค่าเวนคืนโดยจ่ายเช็คธนาคาร ก. ให้แก่โจทก์ที่ 1 และ ก. เช็คระบุผู้รับเงินไว้คือโจทก์ที่ 1 กับ ก. และขีดฆ่าคำว่าหรือผู้ถือออก ธนาคารต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ที่สั่งจ่ายระบุชื่อ แม้ระหว่างชื่อของบุคคลทั้งสองมีเพียงเครื่องหมาย " , " คั่นไว้ก็ตาม ก็มีความหมายว่าธนาคารต้องจ่ายเงินให้แก่บุคคลทั้งสองมิใช่หมายถึงจ่ายเงินให้แก่โจทก์ที่ 1 เพียงคนเดียว อีกทั้งเช็คมีการขีดคร่อมระบุคำว่า "A/C PAYEE ONLY" ธนาคารต้องจ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้รับเงินซึ่งมีชื่อในเช็คเท่านั้น การที่ธนาคารจำเลยที่ 1 นำเงินที่เรียกเก็บตามเช็คเข้าบัญชีของโจทก์ที่ 1 หรือ ม. ย่อมเป็นความเข้าใจของธนาคารจำเลยที่ 1 เพียงฝ่ายเดียวว่าสามารถกระทำได้ ทั้งๆ ที่บัญชีมีชื่อไม่ตรงกับที่ระบุไว้ในเช็ค อีกทั้งธนาคารจำเลยที่ 1 ยอมให้ ม. ผู้ไม่มีสิทธิรับเงินตามเช็คเบิกถอนเงินออกไปเพียงผู้เดียว ธนาคารจำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามการค้าปรกติของธนาคารย่อมไม่เป็นการกระทำที่สุจริตหรือปราศจากความประมาทเลินเล่อแต่อย่างใด ธนาคารจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระเงินต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นทายาทของ ก. ฐานกระทำละเมิดต่อโจทก์ที่ 1 และที่ 2
แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กล่าวในคำฟ้องว่าด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับความเสียหายเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีมูลหนี้จากการละเมิด อันจะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายภายในอายุความ 1 ปีก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องทั้งหมดแล้วเห็นว่า เป็นการที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอ้าง ป.พ.พ. มาตรา 1000 เพื่อยกเว้นความรับผิดตามมูลหนี้ตั๋วเงิน มีอายุความ 10 ปี จะนำอายุความเรื่องละเมิด 1 ปี มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ขาดอายุความ
แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 กล่าวในคำฟ้องว่าด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะผู้จัดการจำเลยที่ 1 เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ได้รับความเสียหายเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 มีมูลหนี้จากการละเมิด อันจะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายภายในอายุความ 1 ปีก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาคำฟ้องทั้งหมดแล้วเห็นว่า เป็นการที่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิอ้าง ป.พ.พ. มาตรา 1000 เพื่อยกเว้นความรับผิดตามมูลหนี้ตั๋วเงิน มีอายุความ 10 ปี จะนำอายุความเรื่องละเมิด 1 ปี มาใช้บังคับไม่ได้ ฟ้องโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11029/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารร่วมรับผิดเช็คเละ เหตุไม่ระมัดระวังการจ่ายเช็คจำนวนมากเกินปกติ
จำเลยที่ 1 ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์โดยเพิ่มเติมจำนวนตัวเลขและตัวหนังสือในเช็คเงินสดที่เรือนจำกลางชลบุรีสั่งจ่ายในนามของจำเลยที่ 1 เพื่อให้จำเลยที่ 1 นำไปเบิกถอนเงินมาจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ แต่จำเลยที่ 1 ใช้เช็คขอเบิกเงินสดถึง 15,558,406 บาท เป็นการใช้เช็คเบิกเงินสดที่มากผิดปกติ เช่นนี้ โดยหน้าที่ตามสัญญารับฝากเงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 659 วรรคสาม และตามระเบียบภายในของธนาคารจำเลยที่ 2 พนักงานผู้ทำหน้าที่ตรวจรับเช็คและอนุมัติจ่ายเงินควรที่จะต้องเพิ่มความระมัดระวังและพิจารณาด้วยความรอบคอบ และควรที่จะสงสัยถึงขนาดที่ควรจะสอบถามเรือนจำกลางชลบุรี ผู้สั่งจ่ายว่าได้ออกเช็คจ่ายเงินจำนวนมากดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 มาเบิกเงินสดไปจริงหรือไม่ การที่พนักงานของจำเลยที่ 2 ไม่ได้สอบถามผู้สั่งจ่าย และยอมจ่ายเงินตามที่ระบุในเช็คดังกล่าวไป ถือได้ว่าเป็นการละเว้นไม่กระทำการที่จะต้องกระทำเป็นการผิดสัญญารับฝากเงินและเป็นละเมิดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10653/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คระบุชื่อผู้รับเงินและขีดคร่อม A/C Payee Only ธนาคารไม่มีอำนาจรับฝากเช็คเข้าบัญชีผู้อื่นโดยไม่ได้รับมอบอำนาจ
เช็คระบุชื่อโจทก์เป็นผู้รับเงิน แม้ไม่ได้ขีดฆ่าคำว่า "หรือผู้ถือ" แต่ได้มีการขีดคร่อมพร้อมกับมีข้อความว่า "A/C PAYEE only" ในช่องขีดคร่อม อันมีความหมายว่าเช็คนี้ห้ามเปลี่ยนมือและต้องจ่ายเงินแก่ธนาคาร กล่าวคือต้องนำเช็คเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่มีแก่ธนาคารเท่านั้น เมื่อโจทก์มิได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 นำเช็คไปเข้าบัญชี จำเลยที่ 2 จึงไม่มีอำนาจรับเช็คดังกล่าวฝากเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 ซึ่งเปิดไว้กับจำเลยที่ 2 การกระทำของจำเลยที่ 2 โดยพนักงานของจำเลยที่ 2 นำเช็คฝากเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 ซึ่งเปิดไว้กับจำเลยที่ 2 ดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10452/2553
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารประมาทเลินเล่อจ่ายเช็คแก้ไขจำนวนเงิน เสี่ยงต่อการปลอมแปลง ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้สั่งจ่าย
เช็คพิพาทมีการแก้จำนวนตัวเลขและตัวอักษร ซึ่งการแก้ดังกล่าวมีร่องรอยการขูดลบ และการเขียนขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีสีหมึกแตกต่างจากตัวเลขและตัวอักษรอื่น บุคคลทั่วไปก็สามารถมองเห็นการแก้ไขได้ ทั้งการแก้ดังกล่าวเป็นการเพิ่มจำนวนเงินเบิกถอนขึ้นมามากพอที่จะทำให้มีข้อสงสัยว่าจะเป็นการปลอมเอกสาร การที่จำเลยยังจ่ายเงินให้ไปทั้งที่พบเห็นข้อพิรุธดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อไม่ได้ใช้ความระวังระมัดด้วยฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการของธนาคารอันเป็นอาชีพของตน พ. ลูกจ้างของโจทก์ ตำแหน่งพนักงานบัญชีนำเช็ค 3 ฉบับ ซึ่งโจทก์กรอกรายการในเช็คครบถ้วนและลงลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นตัวแทนไปถอนเงินจากบัญชีของโจทก์มามอบให้แก่โจทก์ แต่นาย พ. ได้ถือโอกาสจากภารกิจที่โจทก์มอบหมายให้กระทำนี้เบียดบังเอาเงินที่ถอนจากบัญชีของโจทก์ไป แม้ไม่มีการแก้ไขจำนวนเงินในเช็คพิพาท นาย พ. ก็สามารถเบียดบังเอาเงินตามจำนวนที่โจทก์สั่งจ่ายทั้งหมดไปได้ ถือได้ว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์ซึ่งเป็นตัวการประกอบด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ศาลฎีกาให้จำเลยรับผิดกึ่งหนึ่ง