คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ผู้เยาว์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 452 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1435/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินของผู้เยาว์: สัญญาไม่ผูกพันบุตร
ที่ดินโฉนดมีชื่อมารดากับบุตรผู้เยาว์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ มารดาไปทำสัญญาขายที่ดินนี้ให้แก่ผู้อื่นนั้น ย่อมไม่ผูกพันส่วนของบุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์ตาม ป.ม.แพ่ง ฯ มาตรา 1546

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1435/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินโดยผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ สัญญาไม่ผูกพันผู้เยาว์
ที่ดินในโฉนดมีชื่อมารดากับบุตรผู้เยาว์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์มารดาไปทำสัญญาขายที่ดินนี้ให้แก่ผู้อื่นนั้น ย่อมไม่ผูกพันส่วนของบุตรซึ่งเป็นผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะและไม่มีประโยชน์ในการชี้ขาด ศาลฎีกามีอำนาจจำหน่ายคดีได้แม้ไม่เข้าข่ายมาตรา 172
ในระหว่างพิจารณา ศาลสั่งยกคำร้องในเรื่องข้อตัดฟ้องของจำเลย ๆแถลงว่า ยังติดใจคัดค้านและขอสงวนสิทธิเพื่ออุทธรณ์ แล้วจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาล ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำแถลงว่าพอใจคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลแล้วจึงขอค่าธรรมเนียมคืน ดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยพอใจในการสั่งของศาล ไม่ใช่พอใจที่จะไม่อุทธรณ์ เมื่อศาลพิพากษาคดีแล้ว จำเลยย่อมอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นได้ เพราะจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งไว้ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 226(2) แล้ว
เมื่อความปรากฎว่าจำเลยเป็นผู้เยาว์ ตาม ป.ม.วิ.แพ่ง มาตรา 1(12) กรณีก็ต้องตามมาตรา 56 การที่ผู้แทนโดยชอบธรรมจะให้อนุญาตหรือยินยอมแต่ผู้เยาว์ ที่จะดำเนินคดีหรือไม่เป็นอำนาจของผู้แทนโดยชอบธรรม ศาลไม่มีอำนาจบังคับผู้แทนโดยชอบธรรมให้ดำเนินคดีแทนผู้เยาว์
การหมายเรียกตาม ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 57(3) เป็นการหมายเรียกให้เข้ามาเป็นคู่ความ ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการดำเนินคดี หรือไม่เข้าดำเนินคดีแทนผู้เยาว์ตามที่ควรศาลจะตั้งผู้แทนฉะเพาะคดีให้ตามมาตรา 56 วรรคท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็ไม่ได้ เพราะเป็นบทบัญญัติฉะเพาะแต่ในกรณีไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้ แต่ถ้าในกรณีที่บิดาเป็นผู้ปกครองและไม่ยอมให้คำยินยอมเช่นนี้ ผู้เยาว์อาจขอต่อศาลให้รอคดีไว้หรือศาลสั่งรอไว้เองก็ได้ โดยให้ผู้เยาว์ไปหาญาติสนิท ดำเนินการตามมาตรา 1552 ป.ม.แพ่ง ฯ ถอนอำนาจบิดาในส่วนนี้ฐานใช้อำนาจปกครองโดยมิชอบเสียก่อนได้
ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 56 ไม่ได้ห้ามไม่ให้ฟ้องผู้เยาว์ เป็นแต่ว่าถ้าถูกฟ้อง ผู้เยาว์จะดำเนินคดีไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนโดยชอบธรรม เข้าดำเนินคดีแทนเสียทีเดียว ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ระวังผลประโยชน์ของผู้เยาว์ ก็ไม่ใช่ความผิดของโจทก์ จะบังคับโจทก์ไม่ได้ ศาลจึงชอบที่จะคอยระวังผลประโยชน์ของผู้เยาว์ให้ตามสมควร เพื่อรักษาประโยชน์ของผู้เยาว์ศาลอาจจะแจ้งไปยังพนักงานอัยยการเพื่อพิจารณาและดำเนินการตามมาตรา 1552 นี้ก็ได้เมื่อมีการถอนอำนาจแล้ว ก็เป็นหน้าที่ที่จะใช้มาตรา 56 วรรคท้ายได้ แต่ศาลจะหมายเรียกผู้แทนโดยชอบธรรม ให้เข้ามาแก้คดีแทนผู้เยาว์นั้นหามีกฎหมายสนับสนุนไม่
การบังคับคดีเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้น การที่ขอให้ศาลอุทธรณ์ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่ให้ทุเลา ก็หมายความว่าไม่ให้ถือเอาการอุทธรณ์เป็นการทุเลาการบังคับ แม้จะมีการอุทธรณ์ ก็ให้ศาลล่างดำเนินการบังคับคดีต่อไป ตามอำนาจที่ศาลชั้นต้นมีอยู่ในเรื่องการบังคับคดี ไม่ใช่ว่าถ้าศาลอุทธรณ์ไม่ให้ทุเลาแล้ว ก็เป็นการบังคับศาลชั้นต้นให้บังคับคดีโดยตัดอำนาจที่ศาลชั้นต้นมีอยู่ในเรื่องบังคับคดีเสียเลย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งบุตรสาวโจทก์อายุ 18 ปี ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาบุตรสาวโจทก์บรรลุนิติภาวะแล้ว ศาลฎีกาชอบที่จะจำหน่ายคดีเสียแม้กรณีไม่ต้องด้วย ป.ม.วิ.แพ่งมาตรา 132 ศาลฎีกาก็ยังจำหน่ายคดีได้
ถ้าหากไม่มีประโยชน์ที่ศาลจะชี้ขาดแล้วเช่นคดีนี้ แต่คดีนี้ศาลล่างดำเนินการพิจารณามาสับสน จะเพียงแต่จำหน่ายคดี โดยให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คงไว้ หาชอบไม่ ทั้งจะให้ศาลล่างพิจารณาใหม่ก็ไม่ได้ เพราะบุตรสาวโจทก์ที่ฟ้องเรียกคืนบรรลุนิติภาวะแล้ว เช่นนี้ ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง และให้จำหน่ายคดีเสีย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1215/2492

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะ และไม่มีประโยชน์ในการบังคับคดีต่อ
ในระหว่างพิจารณาศาลสั่งยกคำร้องในเรื่องข้อตัดฟ้องของจำเลย จำเลยแถลงว่า ยังติดใจคัดค้านและขอสงวนสิทธิเพื่ออุทธรณ์ แล้วจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาล ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำแถลงว่าพอใจคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของศาลแล้ว จึงขอค่าธรรมเนียมคืนดังนี้ เป็นเรื่องที่จำเลยพอใจในการสั่งของศาล ไม่ใช่พอใจที่จะไม่อุทธรณ์ เมื่อศาลพิพากษาคดีแล้ว จำเลยย่อมอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งนั้นได้ เพราะจำเลยได้โต้แย้งคำสั่งไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) แล้ว
เมื่อความปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้เยาว์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(12) กรณีก็ต้องตามมาตรา 56 การที่ผู้แทนโดยชอบธรรมจะให้อนุญาตหรือยินยอมแก่ผู้เยาว์ ที่จะดำเนินคดีหรือไม่เป็นอำนาจของผู้แทนโดยชอบธรรม ศาลไม่มีอำนาจบังคับผู้แทนโดยชอบธรรมให้ดำเนินคดีแทนผู้เยาว์
การหมายเรียกตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา57(3) เป็นการหมายเรียกให้เข้ามาเป็นคู่ความ ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ให้ความยินยอมแก่ผู้เยาว์ในการดำเนินคดี หรือไม่เข้าดำเนินคดีแทนผู้เยาว์ตามที่ควรศาลจะตั้งผู้แทนเฉพาะคดีให้ตามมาตรา 56 วรรคท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็ไม่ได้ เพราะเป็นบทบัญญัติเฉพาะแต่ในกรณีไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือผู้แทนโดยชอบธรรมทำหน้าที่ไม่ได้ แต่ถ้าในกรณีที่บิดาเป็นผู้ปกครองและไม่ยอมให้คำยินยอมเช่นนี้ ผู้เยาว์อาจขอต่อศาลให้รอคดีไว้หรือศาลสั่งรอไว้เองก็ได้ โดยให้ผู้เยาว์ไปหาญาติสนิท ดำเนินการตามมาตรา 1552 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ถอนอำนาจบิดาในส่วนนี้ฐานใช้อำนาจปกครองโดยมิชอบเสียก่อนได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 ไม่ได้ห้ามไม่ให้ฟ้องผู้เยาว์ เป็นแต่ว่าถ้าถูกฟ้อง ผู้เยาว์จะดำเนินคดีไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนโดยชอบธรรม เข้าดำเนินคดีแทนเสียทีเดียว ถ้าผู้แทนโดยชอบธรรมไม่ระวังผลประโยชน์ของผู้เยาว์ ก็ไม่ใช่ความผิดของโจทก์ จะบังคับโจทก์ไม่ได้ศาลจึงชอบที่จะคอยระวังผลประโยชน์ของผู้เยาว์ให้ตามสมควร เพื่อรักษาประโยชน์ของผู้เยาว์ ศาลอาจจะแจ้งไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาและดำเนินการตามมาตรา 1552 นี้ก็ได้ เมื่อมีการถอนอำนาจแล้ว ก็เป็นหน้าที่ที่จะใช้มาตรา 56 วรรคท้ายได้ แต่ศาลจะหมายเรียกผู้แทนโดยชอบธรรม ให้เข้ามาแก้คดีแทนผู้เยาว์นั้นหามีกฎหมายสนับสนุนไม่
การบังคับคดีเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้น การที่ขอให้ศาลอุทธรณ์ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่ให้ทุเลา ก็หมายความว่าไม่ให้ถือเอาการอุทธรณ์เป็นการทุเลาการบังคับ แม้จะมีการอุทธรณ์ ก็ให้ศาลล่างดำเนินการบังคับคดีต่อไปตามอำนาจที่ศาลชั้นต้นมีอยู่ในเรื่องการบังคับคดี ไม่ใช่ว่าถ้าศาลอุทธรณ์ไม่ให้ทุเลาแล้ว ก็เป็นการบังคับศาลชั้นต้นให้บังคับคดีโดยตัดอำนาจที่ศาลชั้นต้นมีอยู่ในเรื่องบังคับคดีเสียเลย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งบุตรสาวโจทก์อายุ 18 ปีในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาบุตรสาวโจทก์บรรลุนิติภาวะแล้ว ศาลฎีกาชอบที่จะจำหน่ายคดีเสีย แม้กรณีไม่ต้องด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132 ศาลฎีกาก็ยังจำหน่ายคดีได้
ถ้าหากไม่มีประโยชน์ที่ศาลจะชี้ขาดแล้วเช่นคดีนี้แต่คดีนี้ศาลล่างดำเนินการพิจารณามาสับสน จะเพียงแต่จำหน่ายคดี โดยให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คงไว้ หาชอบไม่ ทั้งจะให้ศาลล่างพิจารณาใหม่ก็ไม่ได้ เพราะบุตรสาวโจทก์ที่ฟ้องเรียกคืนบรรลุนิติภาวะแล้ว เช่นนี้ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลล่าง และให้จำหน่ายคดีเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 937/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนสัญญายอมความของผู้เยาว์ที่ทำโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
ผู้เยาว์และผู้แทนโดยชอบธรรมร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องคดีและทำสัญญายอมความโดยผู้เยาว์มิได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมและผู้แทนโดยชอบธรรมก็ไม่เคยให้สัตยาบัน ดังนี้ ผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญายอมความนั้นได้
ผู้ที่อ้างว่าเป็นบิดาและมารดาฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญายอมความที่ผู้เยาว์ทำไว้ โดยอ้างว่าบิดามิได้ให้ความยินยอม ถ้ายังปรากฏความในฟ้องต่อไปซึ่งแสดงให้เห็นว่าโจทก์ฟ้องโดยหมายความว่าผู้เยาว์ไม่อาจทำนิติกรรมโดยตนเองได้แล้วแม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าบิดาไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรม ก็ถือได้ว่าฟ้องตรงกับประเด็นแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 937/2490

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญายอมความของผู้เยาว์: ผู้แทนโดยชอบธรรมมีสิทธิเพิกถอนได้หากไม่ได้รับความยินยอม
ผู้เยาว์และผู้แทนโดยชอบธรรมร่วมกันเป็นโจทก์ฟ้องคดีและทำสัญญายอมความ โดยผู้เยาว์มิได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมและผู้แทนโดยชอบธรรมก็ไม่เคยให้สัตยาบัน ดังนี้ ผู้แทนโดยชอบธรรมฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญายอมความนั้นได้
ผู้ที่อ้างว่าเป็นบิดาและมารดาฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญายอมความที่ผู้เยาว์ทำไว้ โดยอ้างว่าบิดามิได้ให้ความยินยอม ถ้ายังปรากฏความในฟ้องต่อไปซึ่งแสดงให้เห็นว่าโจทก์ฟ้องโดยหมายความว่าผู้เยาว์ไม่อาจทำนิติกรรมโดยตนเองได้แล้ว แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าบิดาไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรม ก็ถือได้ว่าฟ้องตรงกับประเด็นแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 742/2490 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาปรานีประนอมความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? การควบคุมสิทธิเพื่อประโยชน์ผู้เยาว์
ทำสัญญากันว่า ยอมสละสิทธิ์และหน้าที่ปกครองบุตรของโจทก์ตลอดจนทรัพย์สินตามพินัยกรรม์ ให้โจทก์ผู้เป็นมารดาเป็นผู้ปกครองต่อไปตามกฎหมาย แต่มีข้อผูกมัดโจทก์ว่า โฉนดสำหรับที่ดินตามพินัยกรรม์ซึ่งยกให้แก่บุตรนั้น โจทก์ยอมมอบให้จำเลยเป็นผู้รักษาไว้ก่อน จนกว่าผู้รับมฤดกจะบรรลุนิติภาวะ โจทก์จะไม่ขายหรือก่อภาระติดพันแก่ทรัพย์รายนี้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากจำเลยเป็นลายลักษณ์อักษร ดังนี้ ไม่ขัดต่อ ป.ม.แพ่งฯ ม. 1690 และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน สัญญาสมบูรณ์บังคับได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2489 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความการฟ้องคดีมรดกของผู้เยาว์: เริ่มนับเมื่อบรรลุนิติภาวะครบ 1 ปี
เจ้ามฤดกตายในระหว่างที่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทยังเป็นผู้เยาว์อยู่ อายุความในการฟ้องคดีมฤดกนั้นยังไม่สิ้นสุดลงจนกว่าผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะครบ 1 ปีแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2489

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีมรดกของผู้เยาว์: เริ่มนับเมื่อบรรลุนิติภาวะ + 1 ปี
เจ้ามรดกตายในระหว่างที่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทยังเป็นผู้เยาว์อยู่อายุความในการฟ้องคดีมรดกนั้นยังไม่สิ้นสุดลงจนกว่าผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะครบ 1 ปีแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 671/2489

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหย่าจากพฤติการณ์ประพฤติชั่วร้าย: การลักพาและมีสัมพันธ์กับผู้เยาว์
ได้เสียเป็นสามีภรรยากันโดยทางลักพาเมื่อหญิงอายุได้ 15 ปีแล้วเข้ามากินอยู่ที่บ้านบิดามารดาของภรรยา ไม่ทันไรก็ลักพาน้องสาวภรรยาอายุ 15 ปีไปอีก ดังนี้ถือได้ว่าประพฤติชั่วอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้หญิงฟ้องหย่าได้
of 46