พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเช็ค: วันที่กระทำผิดต้องหลังวันที่ออกเช็ค การบรรยายฟ้องไม่ชัดเจนทำให้ศาลยกฟ้อง
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้ผู้เสียหายเมื่อเดือนธันวาคม 2528 สั่งจ่ายเงินในวันที่ 15 มกราคม 2528 และผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารตามเช็คในวันที่4 เมษายน 2528 ในวันเดียวกันเวลากลางวัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค วันที่ความผิดเกิดก็คือวันที่ 4 เมษายน 2528ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งเป็นวันที่ย้อนหลังจากวันที่จำเลยมอบเช็คให้ผู้เสียหาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่วันที่กระทำผิดจะเกิดก่อนวันที่จำเลยมอบเช็คพิพาทให้ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิด กรณีเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลพิพากษายกฟ้องได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3084/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชิงทรัพย์และการมีอาวุธปืน ศาลฎีกายืนยกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอและฟ้องไม่ชัดเจน
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 และ 340 ตรี มิได้บรรยายและขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 392 ทั้งการกระทำความผิดตามมาตรา 392 ไม่ใช่การกระทำอันรวมอยู่ในความผิดฐานชิงทรัพย์ จึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองตามมาตรา 392 ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2981/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการอุทธรณ์ในคดีขับรถชนแล้วหลบหนี เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องในประเด็นผู้กระทำผิด
ความผิดฐานหลบหนีไม่หยุดให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกฯ มาตรา 78,160 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพัน บาท หรือทั้งจำทั้งปรับดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่เชื่อ ว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถชนผู้ตายแล้ว ความผิดในข้อหาดังกล่าวจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์และศาลอุทธรณ์รับพิจารณาในข้อหานี้โดยลงโทษจำเลยก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในข้อหาดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2981/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีขับรถชนแล้วหลบหนี ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้อง
ความผิดฐานหลบหนีไม่หยุดให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 78,160 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่เชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ขับรถชนผู้ตายแล้ว ความผิดในข้อหาดังกล่าวจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์และศาลอุทธรณ์รับพิจารณาในข้อหานี้โดยลงโทษจำเลยก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องในข้อหาดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 297/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีจึงไม่สามารถนำมาฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังว่า จำเลยที่ 1 เอานาฬิกาของโจทก์ไปโดยโจทก์ยินยอม ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยฟังว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่พอรับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย แต่เป็นเรื่องจำเลยที่ 1 เอานาฬิกาจากร้านโจทก์ไปเพราะได้ติดต่อกับพี่ชายโจทก์ไว้ เช่นนี้ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โดยอาศัยข้อเท็จจริง คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเจตนาเอาทรัพย์ของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตนและข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ซื้อนาฬิกาโดยติดต่อกับพี่ชายโจทก์ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงฎีกาไม่ได้.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2544/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอในการรับฟังว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดฐานชิงทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้อง
โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยร่วมกับพวกเป็นคนร้ายที่ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ที่ผู้เสียหายแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและให้การในชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยร่วมกับพวกปล้นทรัพย์นั้น ล้วนแต่เป็นเพียงคำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยพยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่มั่นคงพอที่จะให้ฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2544/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอรับฟังว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดชิงทรัพย์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้อง
โจทก์ไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเป็นพยานยืนยันว่าจำเลยร่วมกับพวกเป็นคนร้ายที่ปล้นทรัพย์ผู้เสียหาย ที่ผู้เสียหายแจ้งต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและให้การในชั้นสอบสวนต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยร่วมกับพวกปล้นทรัพย์นั้น ล้วนแต่เป็นเพียงคำบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยพยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่มั่นคงพอที่จะให้ฟังว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานขัดแย้ง ศาลยกฟ้องจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกระทำความผิดอาญา เนื่องจากพยานผู้เสียหายให้การไม่สอดคล้องกัน
แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย แต่ในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยที่ 1 ก็ให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วย ทั้งได้นำชี้ ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพไว้ถึง 2 ครั้ง กับยังปรากฏด้วยว่าหลังจากเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 1 ได้นำอาวุธปืนลูกซองสั้นไปฝากบุคคลอื่นไว้ อาวุธปืนกระบอกนี้เมื่อนำมาพิสูจน์เปรียบเทียบกับปลอกกระสุนปืนลูกซองที่พบในที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าเป็นปลอกกระสุนปืนที่ยิงมาจากอาวุธปืนกระบอกดังกล่าว พยานหลักฐานโจทก์จึงประกอบกันมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1ได้ร่วมกระทำความผิดดัง โจทก์ฟ้อง เมื่อคำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานขัดแย้ง ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยที่ 2 เหตุพยานผู้เสียหายเบิกความไม่สอดคล้องกัน
แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย แต่ในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยที่ 1ก็ให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วย ทั้งได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพไว้ถึง 2 ครั้ง กับยังปรากฏด้วยว่าหลังจากเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 1 ได้นำอาวุธปืนลูกซองสั้นไปฝากบุคคลอื่นไว้ อาวุธปืนกระบอกนี้เมื่อนำมาพิสูจน์เปรียบเทียบกับปลอกกระสุนปืนลูกซองที่พบในที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าเป็นปลอกกระสุนปืนที่ยิงมาจากอาวุธปืนกระบอกดังกล่าว พยานหลักฐานโจทก์จึงประกอบกันมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำความผิดดังโจทก์ฟ้อง
เมื่อคำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
เมื่อคำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่โจทก์ไม่สามารถอุทธรณ์คดีอาญาได้เนื่องจากศาลอุทธรณ์ยกฟ้องในข้อหาเดิมที่ฟ้องไว้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362,364, 365 (2) (3), 288, 289 (4), 80, 81, 90, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 และมาตรา 365 และความผิดดังกล่าวเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทจึงลงโทษตามมาตรา 288, 81 อันเป็นบทหนักให้จำคุก 1 ปี และรอการลงโทษไว้ 3 ปี ยกคำขออื่น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 ด้วย คงลงโทษในความผิดกรรมนี้ตามมาตรา 365 ให้จำคุก 6 เดือน และรอการลงโทษไว้ 3 ปี ดังนี้ มีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 289 (4) ประกอบด้วยมาตรา 80 โจทก์จึงฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในข้อหาความผิดดังกล่าวไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220