คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลอุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4419/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษไม่เกินที่กฎหมายกำหนด
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 5 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุกจำเลย 2 เดือน และปรับ 24,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะลงโทษปรับจำเลยด้วยแต่ให้รอการลงโทษจำคุกไว้ โทษที่จำเลยได้รับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงต่ำกว่าโทษที่จำเลยจะต้องรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่กรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย คดีจึงต้องห้ามมิให้โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำคุกจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และขอให้ไม่รอการลงโทษนั้น เป็นการโต้เถียงดุลพินิจการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 3 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4361/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิฎีกาเมื่อศาลอุทธรณ์ไม้ยืนตามคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ – การปฏิบัติตามเงื่อนไข ป.วิ.พ.มาตรา 234
เมื่อคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่ใช่คำสั่งยืนตามคำปฎิเสธของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 236 วรรคแรก แต่เป็นคำสั่งในกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นผู้อุทธรณ์มิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามป.วิ.พ.มาตรา 234 คำสั่งของศาลอุทธรณ์จึงไม่เป็นที่สุด จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้
ป.วิ.พ.มาตรา 234 ที่บัญญัติว่า ถ้าศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คำสั่งศาลนั้นไปยังศาลอุทธรณ์โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้นและนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่ง เมื่อปรากฏว่าจำเลยเพียงแต่นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่โจทก์มาวางศาล โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล จึงถือว่าจำเลยไม่ปฎิบัติตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยจะฎีกาอ้างว่า เหตุที่จำเลยไม่นำเงินมาชำระหนี้ตามคำพิพากษา เพราะกำลังมีการโต้แย้งกันอยู่และศาลมิได้มีคำสั่งหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 338/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดในการยกข้อต่อสู้ใหม่ในศาลอุทธรณ์: ทางจำเป็น
คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแต่เพียงว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ มิได้กล่าวอ้างว่าเป็นทางจำเป็นข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น เป็นการฝ่าฝืนต่อ ป.วิ.พ.มาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 338/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้ออ้างทางจำเป็นต้องยกขึ้นในศาลชั้นต้นก่อน หากไม่ได้ยก ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยได้
คดีนี้โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแต่เพียงว่าทางพิพาทเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่าเป็นทางจำเป็นข้อที่จำเลยอุทธรณ์ว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นเป็นการฝ่าฝืนต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225ที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้นั้นจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3067/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลไม่รับอุทธรณ์บางส่วนมีผลถึงที่สุด ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยเฉพาะส่วนที่รับอุทธรณ์ ฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อบรรยายลักษณะสัญญาและเหตุผิดสัญญาชัดเจน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อใด หากจำเลยไม่เห็นด้วยก็ต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับอุทธรณ์ในข้อที่ไม่รับนั้นได้ เมื่อจำเลยมิได้อุทธรณ์ ต้องถือว่าคำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุดศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของจำเลยตามประเด็นข้อที่ศาลชั้นต้นสั่งรับไว้เท่านั้น
โจทก์บรรยายฟ้อง โจทก์เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยตามคำพรรณนาโจทก์หลงเชื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและผ่อนชำระเงินมัดจำแก่จำเลย รวมเป็นเงิน630,000 บาท เวลาล่วงเลยมานานประมาณ 5 ปี จำเลยยังไม่จัดทำโครงการตามที่ได้พรรณนาไว้ อันเป็นการผิดสัญญา โจทก์จึงได้บอกเลิกสัญญา ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวไม่ขัดกันจึงไม่เคลือบคลุม ทั้งไม่จำต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์ถูกหลอกลวงถึงขนาดหรือไม่เพียงใดเพราะโจทก์มิได้ฟ้องขอให้สัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะอันเนื่องมาจากการบอกล้างสัญญาที่เกิดจากกลฉ้อฉล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2972/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดระยะเวลาฎีกาและการยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยมีสิทธิยื่นฎีกาได้ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2539 จำเลยยื่นคำร้องพร้อมฎีกาต่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นในวันที่ 29 ตุลาคม 2539ขอให้อนุญาตให้จำเลยฎีกาซึ่งยังอยู่ในกำหนดระยะเวลาที่จำเลยจะฎีกาได้จึงเป็นคำร้องที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนคำร้องของจำเลยพร้อมฎีกาที่ขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยฎีกาซึ่งยื่นเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน2539 นั้นแม้จะยื่นก่อนเวลาที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกา แต่ก็เป็นการยื่นเมื่อล่วงพ้นระยะเวลาที่จำเลยมีสิทธิฎีกาแล้ว จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ กรณีศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนเว้นแต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายเมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นผิดพลาด และอำนาจศาลอุทธรณ์ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลอุทธรณ์ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนเว้นแต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2888/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ภาค 2 ที่ชอบแล้วเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดกฎหมายเกี่ยวกับเอกสารสัญญากู้ยืม
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลอุทธรณ์ต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนเว้นแต่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายเมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมายดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2815/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่รับกันในสำนวน แม้มีประเด็นค่าอ้างเอกสาร
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์อ้างสัญญากู้ยืมเงินโดยไม่เสียค่าอ้างเอกสาร จึงไม่อาจรับฟังสัญญากู้เป็นพยานโจทก์ได้ ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มิได้มีเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าอ้างเอกสารแต่อย่างใด ขอให้ศาลอุทธรณ์ได้พิจารณารับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาและพิพากษาต่อไปด้วยนั้น ตามอุทธรณ์ของโจทก์พอเข้าใจความหมายได้ว่าโจทก์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีไปตามพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏในสำนวนของศาลชั้นต้น และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่า ข้อเท็จจริงตามท้องสำนวนรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยทั้งสองกู้เงินโจทก์ไป ทั้งศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามคำรับดังกล่าวแล้ว กรณีเช่นนี้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาเพื่อความเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่ายตามข้อเท็จจริงที่รับกันและปรากฏอยู่ในสำนวนคดีนี้ได้ หาใช่เป็นการพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นไม่
of 225