คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หนี้

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,449 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8080/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ที่เกิดหลังศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นโมฆะ ผู้รับเช็คไม่มีสิทธิเรียกร้อง ผู้สั่งจ่ายทำผิดพ.ร.บ.ล้มละลาย
มูลหนี้ที่เจ้าหนี้จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา91ต้องเป็นหนี้ที่มูลแห่งหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เมื่อมูลแห่งหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดขึ้นหลังวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดแล้วจึงหาอยู่ในบังคับตามมาตรา91ไม่แต่กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองฝ่าฝืนพระราชบัญญัติล้มละลายมาตรา24โดยการที่จำเลยทั้งสองซึ่งศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วกระทำการออกเช็คพิพาทชำระหนี้แก่โจทก์ร่วมอันเป็นการมุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นกับโจทก์ร่วมตามกฎหมายลักษณะตั๋วเงินประเภทเช็คซึ่งเป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองโดยมิใช่กรณีกระทำตามคำสั่งศาลหรือความเห็นชอบของศาลเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้จัดการทรัพย์หรือที่ประชุมเจ้าหนี้ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติล้มละลายดังนั้นมูลหนี้ตามเช็คพิพาทจึงเป็นโมฆะโจทก์ร่วมหามีสิทธินำเช็คพิพาทไปยื่นเพื่อให้ธนาคารใช้เงินตามเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายไม่เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ร่วมจึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเสียหายถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา28จึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์คดีความผิดต่อส่วนตัวได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา124โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา121และโจทก์ร่วมก็ไม่มีอำนาจร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา30ศาลชอบที่จะยกฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมเสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7973/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาคดีก่อนกับคู่ความร่วม และสิทธิช่วงสิทธิจากเจ้าหนี้เดิม
คดีที่ธนาคารฟ้องโจทก์กับจำเลยคดีนี้แม้โจทก์กับจำเลยคดีนี้จะเป็นจำเลยด้วยกันในคดีดังกล่าวก็ตามก็ต้องถือว่าโจทก์กับจำเลยเป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลในคดีก่อนด้วยคำพิพากษาในคดีก่อนจึงมีผลผูกพันโจทก์กับจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 773/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้หุ้นส่วนจำกัด: ลูกหนี้ร่วมกับห้างสามารถยกอายุความได้ แม้เป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิด
การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดของห้างหุ้นส่วนจำกัด พ. ให้การต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เกี่ยวกับมูลหนี้ตามบันทึกรับสภาพหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พ.ก่อนที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้ไปยังผู้ร้อง ไม่ใช่ผู้ร้องยอมรับในส่วนของผู้ร้องว่าเป็นหนี้จำเลย บันทึกคำให้การของผู้ร้องไม่ใช่การรับสภาพความรับผิดโดยสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 188 วรรคสาม (เดิม) แม้ผู้ร้องต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างโดยไม่จำกัดจำนวนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1077 แต่ผู้ร้องก็อยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับห้างซึ่งมีสิทธิยกอายุความขึ้นต่อสู้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 295 แม้ห้างถูกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้จนศาลได้ออกคำบังคับเพราะเป็นหนี้เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 119 แล้วก็ตาม เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทวงหนี้ไปยังผู้ร้องให้ร่วมรับผิดในหนี้ของห้างเมื่อพ้น 2 ปีนับแต่ห้างผิดนัดชำระหนี้ในมูลหนี้ผู้เป็นพ่อค้าเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของ สิทธิเรียกร้องให้ผู้ร้องชำระหนี้ย่อมขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 772/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คชำระหนี้ตามสัญญาที่ไม่สามารถบังคับได้ ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทสองฉบับชำระค่าจ้างถมดินทำถนนให้ส. โดยสัญญาว่าจ้างถมที่ทำถนนระบุว่าถ้า ส. ผู้รับจ้างถมที่ดินไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดจำเลยผู้ว่าจ้างสามารถอายัดเช็คทั้งสองฉบับได้โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นดังนี้เมื่อ ส.มิได้ถมที่ดินทำถนนให้แล้วเสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาจำเลยย่อมมี สิทธิยึดหน่วงการชำระเงินตามเช็คทั้งสองฉบับได้ตามกฎหมายรวมทั้งมี สิทธิอายัดการใช้เงินตามเช็คทั้งสองฉบับต่อธนาคารตามสัญญาอันเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายและการที่ ส.ถมดินทำถนนไม่เสร็จภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญา ส. ย่อมไม่อาจบังคับให้จำเลยชำระหนี้เต็มตามสัญญาได้แม้จำเลยจะสั่งจ่ายเช็คทั้งสองฉบับแต่ก็เป็นการชำระหนี้ตามสัญญาใน มูลหนี้อันเดียวกันไม่สามารถแบ่งแยกกันได้การออกเช็คของจำเลยจึงเป็นการออกเช็คชำระหนี้ที่ไม่อาจบังคับได้ตามกฎหมายระคนอยู่ในจำนวนหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายจำเลยจึง ไม่มี ความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 761/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้จากการเบิกเงินเกินบัญชีและการเลิกสัญญาสัญญาบัญชีเดินสะพัด
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ไม่มีกำหนดระยะเวลาให้ชำระหนี้เสร็จสิ้นเมื่อใด สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้ของผู้ร้องจึงเกิดขึ้นเมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระหนี้คงเหลืออันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตาม ป.พ.พ. มาตรา 856, 859 ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะเดินสะพัดทางบัญชีครั้งสุดท้ายในวันที่ 29 กรกฎาคม 2524 และหลังจากนั้นไม่มีการเดินสะพัดทางบัญชีอีก แต่เมื่อไม่มีฝ่ายใดบอกเลิกสัญญาต่อกัน สัญญาบัญชีเดินสะพัดก็ยังไม่สิ้นสุด เมื่อจำเลยที่ 1 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2532 สัญญาบัญชีเดินสะพัดต้องเลิกกันไปโดยปริยาย สิทธิเรียกร้องของผู้ร้องตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจึงเกิดขึ้นนับแต่นั้น ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์2535 ขอให้บังคับทรัพย์จำนองจึงยังไม่พ้นกำหนด 10 ปี หนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นหนี้ประธานไม่ขาดอายุความ ผู้ร้องมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2532 ซึ่งเป็นวันที่ถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดเลิกกันได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7615/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ต้องมีหนี้จริงเกิดขึ้นก่อน หากยังไม่มีหนี้ แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ก็ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
การออกเช็คที่จะมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๔ ต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ ตามกฎหมาย เมื่อปรากฎว่าวันที่ประกาศกระทรวงมอบเงินให้แก่ จำเลยตามสัญญากู้ยืมเงินเป็นวันหลังจากวันที่จำเลย ออกเช็คให้ประกาศกระทรวง ขณะที่ออกเช็คให้ประกาศกระทรวง จึงยังไม่มีหนี้ต้องชำระต่อกัน แม้ต่อมาธนาคารตามเช็ค จะปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิด ตามกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7615/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การออกเช็คเพื่อชำระหนี้ต้องมีหนี้อยู่จริง การออกเช็คก่อนได้รับเงินไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เช็ค
การออกเช็คที่จะมีมูลความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2534มาตรา4ต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อปรากฎว่าวันที่ประกาศกระทรวงมอบเงินให้แก่จำเลยตามสัญญากู้ยืมเงินเป็นวันหลังจากวันที่จำเลยออกเช็คให้ประกาศกระทรวงขณะที่ออกเช็คให้ประกาศกระทรวงจึงยังไม่มีหนี้ต้องชำระต่อกันแม้ต่อมาธนาคารตามเช็คจะปฏิเสธการจ่ายเงินการกระทำของจำเลยก็ไม่เป็นความผิดตามกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7568/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความชอบด้วยกฎหมายของคำฟ้องในคดีเช็ค: การบรรยายถึงหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2534 มาตรา 4 การออกเช็คที่จะเป็นความผิดนั้นจะต้องเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับ ได้ตามกฎหมายด้วย อันเป็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิด การที่โจทก์บรรยายฟ้องมีสาระสำคัญว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คพิพาทซึ่งจำเลยออกเพื่อชำระหนี้ค่าผ้าให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์ได้นำเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่ายังไม่มีการตกลงกับธนาคาร ดังนี้จึงเป็นที่เห็นได้ว่าคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายข้อเท็จจริงแล้วว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้ค่าผ้าอันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7545/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสลักหลังเช็คเพื่อชำระหนี้เดิมและการทำสัญญากู้เงินใหม่ การผิดนัดชำระหนี้ตามเช็คถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
จำเลยเป็นผู้สลักหลังเช็คที่ ย.สั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์เมื่อธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินโจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าวจำเลยซึ่งเป็นผู้สลักหลังย่อมต้องรับผิดร่วมกับย. ชำระหนี้ให้โจทก์ เมื่อหนี้เดิมจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในหนี้ตามเช็คแต่ต่อมาได้ทำสัญญากู้เงินกันแทนหนี้จำนวนนี้ย่อมเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายแม้ตอนทำสัญญากู้เงินจำเลยมิได้รับเงินจากโจทก์แต่จำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ก่อนแล้วตามจำนวนหนี้ที่ ย.สั่งจ่ายเช็คและจำเลยเป็นผู้สลักหลังโดยจำเลยไม่จำต้องเกี่ยวข้องหรือมีผลประโยชน์ร่วมกับ ย. จำเลยต้องรับผิดชำระหนี้รายนี้เมื่อจำเลยยังไม่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์และได้มีการทำสัญญากู้เงินกันแทนถือว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์และโจทก์สามารถบังคับให้ชำระหนี้ดังกล่าวได้ตามกฎหมายแม้ในวันทำสัญญากู้เงินจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คโดยลงวันที่สั่งจ่ายตรงกับวันที่ครบกำหนดชำระเงินตามสัญญากู้เงินการสั่งจ่ายเช็คดังกล่าวถือว่าเป็นการออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายเมื่อธนาคารปฎิเสธไม่ใช้เงินตามเช็คการกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 720/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงรับแลกเปลี่ยนตั๋วสิทธิขาดอายุความ ผลกระทบต่อหนี้และสิทธิเรียกร้อง
หนี้ที่เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในคดีนี้มีมูลกรณีจากการที่ลูกหนี้เป็นผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ส. ซึ่งประสบปัญหาวิกฤตขาดเงินทุนหมุนเวียน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2528 ศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์บริษัทดังกล่าวเด็ดขาด ซึ่งลูกหนี้ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คไปขอรับชำระหนี้ไว้แล้ว ต่อมาเจ้าหนี้โดยอนุมัติธนาคารแห่งประเทศไทยตกลงเข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ถือตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ส. โดยการรับแลกเปลี่ยนตั๋วเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินของเจ้าหนี้ ลูกหนี้ตกลงนำตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คไปเปลี่ยนแก่เจ้าหนี้ โดยทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องไว้แก่เจ้าหนี้ ในวันเดียวกันเจ้าหนี้ได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแก่ลูกหนี้เป็นจำนวนเงิน 986,000 บาท และเพื่อเป็นการตอบแทนในการที่ลูกหนี้ได้รับตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยเจ้าหนี้ ลูกหนี้ตกลงมอบสิทธิในการรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าวให้แก่เจ้าหนี้ โดยมีข้อตกลงตามหนังสือสัญญาต่างตอบแทนการรับตั๋วสัญญาใช้เงินด้วยว่าในกรณีที่ลูกหนี้ไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าว ให้ถือว่าตั๋วสัญญาใช้เงินที่เจ้าหนี้ออกให้เป็นการต่างตอบแทนการมอบสิทธิในการรับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ออกโดยบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ส. เป็นอันยกเลิกไม่มีมูลหนี้ต่อกัน หลังจากนั้นลูกหนี้ได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินขายลดให้แก่เจ้าหนี้ในราคา 417,877.51 บาท โดยทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องแก่เจ้าหนี้ และได้รับเงินจำนวนดังกล่าวจากเจ้าหนี้ไปในวันเดียวกัน แต่ต่อมาในคดีล้มละลายหมายดังกล่าวศาลสั่งให้ลูกหนี้ได้รับชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย ส่วนเช็คจำนวน 906,000 บาท ศาลไม่อนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ เพราะขาดอายุความดังนั้นตั๋วสัญญาใช้เงินที่เจ้าหนี้ออกให้แก่ลูกหนี้ในการตกลงรับแลกเปลี่ยนตั๋ว ซึ่งไม่อาจแบ่งแยกชำระได้ย่อมเป็นอันยกเลิกไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ตามข้อตกลงตามหนังสือสัญญาต่างตอบแทนการรับตั๋วสัญญาใช้เงิน ลูกหนี้ที่ 2 ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินจากเจ้าหนี้ต่อไป จึงไม่อาจนำตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวไปทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้อง (ขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน) ได้ ลูกหนี้ต้องคืนเงินค่าขายลดตั๋วสัญญาใช้เงิน จำนวน 417,837.51 บาท แก่เจ้าหนี้
เมื่อตั๋วสัญญาใช้เงินที่เจ้าหนี้ออกให้แก่ลูกหนี้ ตามข้อตกลงรับแลกเปลี่ยนตั๋วเป็นอันยกเลิกไม่มีมูลหนี้ต่อกันเช่นนี้ ความตกลงทั้งหลายเกี่ยวกับการดำเนินการเพื่อรับแลกเปลี่ยนตั๋วระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ ย่อมเป็นอันยกเลิกไป รวมทั้งข้อตกลงการมอบสิทธิให้เจ้าหนี้ในการรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายของศาลแพ่งด้วย เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าว กรณีไม่มีเหตุให้ต้องกำหนดเงื่อนไขในการที่เจ้าหนี้จะได้ชำระหนี้ในคดีนี้ว่า หากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ในคดีล้มละลายดังกล่าวแล้วเพียงใดให้สิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ในคดีนี้ลดลงไปเพียงนั้น และเป็นเรื่องที่เจ้าพนักงาน-พิทักษ์ทรัพย์จะต้องไปว่ากล่าวแก่เจ้าหนี้ต่างหาก เพื่อมิให้เจ้าหนี้ไปใช้สิทธิรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.274/2528 ซ้ำซ้อนกับคดีนี้ต่อไป
หนี้เงินที่ลูกหนี้ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้เกิดขึ้นเนื่องจากข้อตกลงรับแลกเปลี่ยนตั๋วเป็นอันยกเลิกไม่มีมูลหนี้ต่อกัน ลูกหนี้มีหน้าที่คืนเงินจำนวนที่รับไปจากเจ้าหนี้พร้อมดอกเบี้ยนับตั้งแต่เวลาที่รับไว้เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2529จนถึงวันที่ 6 พฤษภาคม 2535 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 100 และดอกเบี้ยในกรณีเช่นนี้ไม่ถือเป็นดอกเบี้ยค้างส่ง อันมีอายุความ 5 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 166 เดิม
of 145