คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ครอบครองปรปักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,380 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5583/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมโดยการครอบครองปรปักษ์: การใช้ทางต่อเนื่องเกิน 10 ปี ถือเป็นการได้ภารจำยอม แม้เจ้าของเดิมอนุญาตในเบื้องต้น
ทางพิพาทเป็นทางแยกจากซอยวิชิต แม้จะเป็นถนนส่วนบุคคลที่มารดาจำเลยที่ 1 ได้ปักป้ายสงวนสิทธิไว้ที่ปากซอยมาประมาณ30 ปีแล้ว ก็มีผลเป็นเพียงการสงวนกรรมสิทธิ์ซอยวิชิตและทางพิพาทไม่ให้ต้องตกไปเป็นทางสาธารณะอันจะกลายเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินเท่านั้น ไม่มีผลเลยไปถึงว่าซอยวิชิตและทางพิพาทปลอดจากภาระติดพันใด ๆ มารดาโจทก์กับโจทก์และผู้เช่าที่ดินของโจทก์ปลูกบ้านอยู่อาศัยต่างได้ใช้ทางพิพาทเดินเข้าออกสู่ทางสาธารณะเสมือนว่าตนมีสิทธิที่จะใช้โดยมิได้อาศัยสิทธิของมารดาจำเลยที่ 1 หรือจำเลยทั้งสองตลอดมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว พฤติการณ์ในการใช้ทางพิพาทของโจทก์และบุคคลทั่วไปจึงมีลักษณะเป็นการใช้โดยถือสิทธิเป็นปรปักษ์ต่อเจ้าของทางพิพาทตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทจึงตกอยู่ในภารจำยอม การที่โจทก์จะได้ภารจำยอมหรือไม่ขึ้นอยู่กับข้อที่ว่า โจทก์ได้เดินผ่านหรือใช้ที่ดินของจำเลยทั้งสองมาครบถ้วนตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เกี่ยวกับการได้ภารจำยอมของโจทก์หรือไม่เท่านั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีประชาชนทั่วไปใช้ทางพิพาทเป็นประจำด้วยหรือไม่เมื่อโจทก์ใช้ทางพิพาทมาเกินกว่า 10 ปี ทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของโจทก์แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5432/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ระยะเวลาการครอบครองนับจากผู้ครอบครอง ไม่ใช่เจ้าของเดิม
ผู้ร้องได้ซื้อที่ดินพิพาทจาก ส. เจ้าของโฉนดเดิมตามสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด แม้ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ผู้ร้องได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วและผู้ขายได้มอบที่ดินพิพาทให้ผู้ร้องครอบครองปลูกบ้านอยู่อาศัยตลอดมาเมื่อผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่าสิบปีผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแล้ว การนับระยะเวลาครอบครองติดต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ถือเอาระยะเวลาครอบครองของผู้ครอบครองเท่านั้น ไม่ต้องพิจารณาถึงตัวเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกครอบครองว่าจะได้โอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกครอบครองให้แก่ผู้ใดหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหากอ้างกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนเอง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในโฉนดที่ดินแทน แล้วโจทก์ทั้งสองได้ครอบครองที่ดินพิพาทตลอดมาจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แม้การบรรยายฟ้องและคำขอบังคับของโจทก์ทั้งสองมุ่งในเรื่องการครอบครองปรปักษ์ แต่การครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382จะต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น ศาลไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ที่ดินของตนเองได้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องซึ่งข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 538/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหากอ้างกรรมสิทธิ์เดิม
เมื่อโจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองเสียแล้ว แม้โจทก์ทั้งสองบรรยายฟ้องมุ่งเรื่องการครอบครองปรปักษ์และขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ แต่การครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 จะต้องเป็นการครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นดังนั้น ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของตนเองได้ โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5361/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางจำเป็น: การกำหนดทางออกที่ดินเมื่อไม่มีทางเข้าออกสู่สาธารณะ และการครอบครองปรปักษ์
คลองโพธิ์หักใช้เป็นทางไปมาไม่ได้เป็นเวลานานแล้ว จึงมิใช่ทางสาธารณะ ที่ดินของโจทก์อยู่ติดคลองโพธิ์หัก จึงไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4885/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดิน การโอนกรรมสิทธิ์ และการครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่
โจทก์บรรยายฟ้องแจ้งชัดว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินปลูกบ้าน จำเลยอาศัยในบ้านดังกล่าวและไม่ยอมออก ขอบังคับให้จำเลยออกจากบ้านพิพาท เป็นการสมบูรณ์ทั้งสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ เพราะเมื่อบ้านปลูกอยู่ในที่ดินโจทก์ไม่ว่าส่วนไหน โจทก์ก็ขอให้ขับไล่จำเลยได้โดยไม่จำเป็นจะต้องมีแผนที่พิพาทประกอบอีกว่าบ้านอยู่ส่วนไหนของที่ดินเนื่องจากแผนที่พิพาทเป็นรายละเอียดที่จะทำหรือนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
จำเลยฎีกาว่า แม้การยกให้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่จำเลยอยู่ในบ้านดังกล่าวมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเกิน 30 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ป.เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 1 ซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดเลขที่94123 เจ้าของที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบด้วยตาม ป.พ.พ.มาตรา 107วรรคสองเดิม ดังนั้นเมื่อ ป.โอนที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่ ส.โดยไม่ปรากฏมีเงื่อนไขว่าโอนไปโดยไม่รวมถึงบ้านดังกล่าว ก็ต้องถือว่าได้โอนบ้านนั้นด้วย โดยไม่จำเป็นต้องระบุว่าการโอนนั้นให้รวมถึงบ้านด้วยแต่อย่างใด ส.จึงมีสิทธิขายฝากบ้านดังกล่าวนั้นให้แก่โจทก์ได้ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวด้วย
ส่วนบ้านเลขที่ 2 และ 2/1 ปลูกอยู่ในที่ดินของ ป.บางส่วนอีกทั้งฝ่ายจำเลยมิได้ให้การต่อสู้หรือนำสืบเลยว่าตนเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินของ ป.และใช้สิทธินั้นปลูกบ้านทั้งสองหลังในที่ดินนั้นตาม ป.พ.พ.มาตรา 109 เดิมนอกจากนี้ยังได้ความว่าบ้านทั้งสองหลังได้ต่อเติมอย่างถาวรจากบ้านเลขที่ 1จึงเป็นส่วนควบกับบ้านและที่ดินของ ป.ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ป. เมื่อ ป.ยกที่ดินให้ ส. ส.จึงได้กรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวตาม ป.พ.พ.มาตรา 107วรรรคสองเดิม ส.จึงมีสิทธิขายฝากบ้านเลขที่ 2 และ 2/1 ให้ไว้แก่โจทก์ได้และโจทก์ย่อมได้กรรรมสิทธิ์ในบ้าน 2 หลังนี้เช่นเดียวกับบ้านเลขที่ 1
ในชั้นอุทธรณ์ ฝ่ายจำเลยอุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายแต่เพียงว่า จำเลยที่ 8 ถึงที่ 17 อยู่ในบ้านของตนเอง โจทก์จึงไม่เสียหายเท่านั้น หาได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 2,000 บาทต่อหลังสูงเกินไปและไม่ชอบเพราะเหตุใด จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะอ้างอิงขึ้นกล่าวไว้โดยชัดแจ้งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยแล้วกำหนดค่าเสียหายของโจทก์ลดลงเหลือหลังละ500 บาทต่อเดือนจึงเป็นการไม่ชอบ และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และให้บังคับเรื่องค่าเสียหายไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4885/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การครอบครองปรปักษ์ และค่าเสียหายจากการบุกรุก
โจทก์บรรยายฟ้องแจ้งชัดว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ บ้านและที่ดินปลูกบ้าน จำเลยอาศัยในบ้านดังกล่าวและไม่ยอมออกขอบังคับให้จำเลยออกจากบ้านพิพาท เป็นการสมบูรณ์ทั้งสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ เพราะเมื่อบ้านปลูกอยู่ในที่ดินโจทก์ไม่ว่าส่วนไหนโจทก์ก็ขอให้ขับไล่จำเลยได้โดยไม่จำเป็นจะต้องมีแผนที่พิพาทประกอบอีกว่าบ้านอยู่ส่วนไหนของที่ดิน เนื่องจากแผนที่พิพาทเป็นรายละเอียดที่จะทำหรือนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยฎีกาว่า แม้การยกให้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแต่จำเลยอยู่ในบ้านดังกล่าวมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเกิน 30 ปีแล้ว จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้คดีจึงไม่มีประเด็นว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในบ้านโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ และเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ป. เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 1 ซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดเลขที่ 94123 เจ้าของที่ดินย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 วรรคสองเดิมดังนั้นเมื่อ ป. โอนที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่ ส.โดยไม่ปรากฏมีเงื่อนไขว่าโอนไปโดยไม่รวมถึงบ้านดังกล่าวก็ต้องถือว่าได้โอนบ้านนั้นด้วย โดยไม่จำเป็นต้องระบุว่าการโอนนั้นให้รวมถึงบ้านด้วยแต่อย่างใด ส. จึงมีสิทธิขายฝากบ้านดังกล่าวนั้นให้แก่โจทก์ได้ โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวด้วย ส่วนบ้านเลขที่ 2 และ 2/1 ปลูกอยู่ในที่ดินของ ป.บางส่วนอีกทั้งฝ่ายจำเลยมิได้ให้การต่อสู้หรือนำสืบเลยว่าตนเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินของ ป. และใช้สิทธินั้นปลูกบ้านทั้งสองหลังในที่ดินนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 109 เดิม นอกจากนี้ยังได้ความว่าบ้านทั้งสองหลังได้ต่อเติมอย่างถาวรจากบ้านเลขที่ 1 จึงเป็นส่วนควบกับบ้านและที่ดินของ ป. ย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ป. เมื่อ ป.ยกที่ดินให้ ส.ส. จึงได้กรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 วรรคสองเดิมส. จึงมีสิทธิขายฝากบ้านเลขที่ 2 และ 2/1 ให้ไว้แก่โจทก์ได้และโจทก์ย่อมได้กรรมสิทธิ์ในบ้าน 2 หลังนี้เช่นเดียวกับบ้านเลขที่ 1 ในชั้นอุทธรณ์ ฝ่ายจำเลยอุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายแต่เพียงว่า จำเลยที่ 8 ถึงที่ 17 อยู่ในบ้านของตนเองโจทก์จึงไม่เสียหายเท่านั้น หาได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 2,000 บาท ต่อหลังสูงเกินไปและไม่ชอบเพราะเหตุใด จึงเป็นอุทธรณ์ที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะอ้างอิงขึ้นกล่าวไว้โดยชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกขึ้นวินิจฉัยแล้วกำหนดค่าเสียหายของโจทก์ลดลงเหลือหลังละ 500 บาทต่อเดือนจึงเป็นการไม่ชอบและถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และให้บังคับเรื่องค่าเสียหายไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4784/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินจากการมอบให้ การสละเจตนาครอบครอง และการครอบครองปรปักษ์
เจ้ามรดกยกที่ดิน ส.ค.1 ให้แก่ จ. บุตรสาว โดยโจทก์ทั้งเจ็ดซึ่งเป็นทายาทไม่ได้ติดตามทวงถามให้ จ. แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่ตนแต่กลับปล่อยให้ จ. ครอบครองที่ดินพิพาทเป็นเวลากว่า 30 ปีถือได้ว่า จ. เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าวเพียงผู้เดียวเมื่อ จ. ได้มอบที่ดินพิพาทให้จำเลยทั้งสองโดยจำเลยทั้งสองตกลงจ่ายเงินให้แสดงว่า จ. ได้เจตนาสละการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองตั้งแต่วันทำสัญญาแล้ว การครอบครองของ จ.ย่อมสิ้นสุดลง เมื่อจำเลยทั้งสองยึดถือที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมาจนถึงปัจจุบัน จึงมีสิทธิครอบครองทันทีที่ จ.สละสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์ และภาระจำยอมจากการใช้ทางต่อเนื่อง
โจทก์ จำเลยที่ 1 และบุตรคนอื่น ๆ ปลูกบ้านลงในที่ดินมีโฉนดของบิดามารดาตามที่บิดามารดาอนุญาตและชี้ให้ปลูก โดยบิดามารดามีเจตนายกให้ตั้งแต่วันที่อนุญาตนั้น และต่างได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดตลอดมาเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ดังนี้ แต่ละคนย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตนปลูกบ้านโดยการครอบครองปรปักษ์
ทางพิพาทอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 โจทก์และบริวารใช้เดินผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะตั้งแต่แรกโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาจะให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ทางพิพาทย่อมตกเป็นภาระ-จำยอมแก่ที่ดินส่วนของโจทก์โดยอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4775/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และการได้ภารจำยอมโดยอายุความจากการใช้ทางต่อเนื่อง
โจทก์ จำเลยที่ 1 และบุตรคนอื่น ๆ ปลูกบ้านลงในที่ดินมีโฉนดของบิดามารดาตามที่บิดามารดาอนุญาตและชี้ให้ปลูก โดยบิดามารดามีเจตนายกให้ตั้งแต่วันที่อนุญาตนั้น และต่างได้ครอบครองที่ดินเป็นส่วนสัดตลอดมาเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ดังนี้ แต่ละคนย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ตนปลูกบ้านโดยการครอบครองปรปักษ์ ทางพิพาทอยู่ในที่ดินส่วนของจำเลยที่ 1 โจทก์และบริวารใช้เดินผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะตั้งแต่แรกโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาจะให้เป็นทางภารจำยอมติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ทางพิพาทย่อมตกเป็นภารจำยอมแก่ที่ดินส่วนของโจทก์โดยอายุความ
of 138