คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำพิพากษา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7062/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องจำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดการชี้สองสถานและงดสืบพยานศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์อ้างว่าเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งไว้ดังนั้นการที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวโดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลซึ่งถือได้ว่าไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา234กำหนดไว้กรณีหากจำต้องให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งกำหนดเวลาในจำเลยปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวก่อนไม่การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6361/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะบริวารของผู้เช่าและการบังคับคดีตามคำพิพากษา
จำเลยทำสัญญาให้โจทก์ก่อสร้างตึกแถวบนที่ดินจำเลยเมื่อก่อสร้างเสร็จจำเลยยอมให้โจทก์จัดหาบุคคลมาเช่าตึกแถวดังกล่าวมีกำหนด30ปีต่อมาผู้ร้องได้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากห้างหุ้นส่วนจำกัดค. ตัวแทนโจทก์มีกำหนด30ปีโดยผู้ร้องได้จ่ายเงินให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดค. ไป300,000บาทแต่ไม่มีหลักฐานว่าจำเลยมอบอำนาจให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดค. เป็นตัวแทนสัญญาเช่าดังกล่าวจึงไม่ผูกพันจำเลยส่วนโจทก์ทำสัญญาก่อสร้างตึกแถวยกกรรมสิทธิ์ให้จำเลยแต่มีข้อกำหนดว่าการทำสัญญาเช่านั้นให้ทำโดยตรงกับจำเลยมีกำหนดการเช่า30ปีสัญญาเช่าต้องนำไปจดทะเบียนการเช่าดังนั้นการที่ผู้ร้องอาศัยอยู่ในตึกแถวห้องพิพาทโดยที่ยังไม่ได้ทำสัญญาเช่ากับจำเลยจึงถือว่าผู้ร้องอยู่โดยอาศัยสิทธิโจทก์ผู้ร้องจึงเป็นบริวารของโจทก์ ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชดใช้หรือชำระเงินให้แก่จำเลยเดือนละ68,000บาทจนกว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารออกไปจากตึกแถวห้องพิพาทแม้มิได้มีข้อความใดๆให้ขับไล่โจทก์และบริวารก็ตามแต่ก็แสดงชัดเจนแล้วว่าโจทก์ทั้งสองและบริวารจะต้องออกจากตึกแถวห้องพิพาทดังนั้นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขับไล่ผู้ร้องจึงมิใช่เป็นการบังคับคดีนอกเหนือคำพิพากษาศาลฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6304/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด ไม่ถือเป็นโกงเจ้าหนี้
แม้โจทก์จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลยที่ 3กับพวก แต่จำเลยที่ 3 ก็ให้การต่อสู้ว่าไม่ต้องรับผิดเมื่อขณะจำเลยที่ 3 โอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 ศาลยังมิได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงินเท่าใด และยังไม่แน่นอนว่าโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 3 หรือไม่ การโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 เป็นการโอนโดยชอบ การที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อไป จึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 627/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงในคดีแพ่งต้องสอดคล้องกับคำพิพากษาคดีอาญาที่เกี่ยวข้อง
โจทก์ซื้อปลาจากจำเลยทั้งสองและเคยร้องทุกข์กล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองยักยอกเงินของโจทก์จนพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหายักยอกโดยโจทก์ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมด้วย คดีอาญาถึงที่สุดให้ยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า นอกจากโจทก์ได้ชำระราคาปลาที่ซื้อจากจำเลยทั้งสองโดยการโอนเงินผ่านธนาคารแล้ว ไม่เชื่อว่าโจทก์ได้มอบเงินสดให้จำเลยทั้งสองอีก คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ว่า การซื้อขายปลาระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสอง โจทก์เพียงแต่ชำระราคาให้จำเลยทั้งสองดัวยการโอนเงินผ่านธนาคาร โดยโจทก์ไม่ได้มอบเงินสดอีกจำนวนหนึ่งให้จำเลยทั้งสองดังที่โจทก์ฎีกากล่าวอ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6075/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในการขอเฉลี่ยทรัพย์สินสามีภรรยาและการนับระยะเวลาตามกฎหมาย
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 1 แม้ที่ดินพิพาทจะมีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ แต่ก็ได้ความว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นสามีภรรยากัน ผู้ร้องได้อ้างในการยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ครั้งแรกแล้วว่าจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดทั้ง 6 รายการเป็นทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองซึ่งโจทก์มิได้คัดค้าน ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถือว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 2 อยู่ด้วย ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยเงินจากการขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าว
ป.วิ.พ. มาตรา 290 วรรคสี่ ได้บัญญัติให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำขอเฉลี่ยทรัพย์ก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วัน นับแต่วันขายทอดตลาดทรัพย์สิน ระยะเวลา 14 วันนั้นนับแต่วันสิ้นสุดการขายทรัพย์สินที่ยึดมาในคราวนั้นทั้งหมด
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดเพื่อบังคับคดีรวม 6 รายการ ซึ่งมีที่ดินพิพาทรวมอยู่ด้วยและได้ขายทอดตลาดไปรวม 4 รายการ ในการขายทอดตลาดครั้งแรกคงเหลือที่ดินพิพาทซึ่งได้ขายทอดตลาดไปในการขายทอดตลาดครั้งที่สอง ดังนั้น เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เข้ามาก่อนวันขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดมาคราวนั้นในครั้งที่สองเป็นการยื่นขอเฉลี่ยทรัพย์ก่อนวันสิ้นสุดการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่ยึดมาในคราวนั้นทั้งหมด ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้ทั้งหมด โดยไม่ต้องยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์อีก แม้หลังจากขายทอดตลาดทรัพย์ครั้งที่ 2 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์อีกเมื่อพ้นระยะเวลา 14 วันนับแต่วันขายทอดตลาดครั้งที่ 2 ก็มิได้ทำให้สิทธิของผู้ร้องที่จะขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยที่ 1 หมดไป เพราะผู้ร้องมีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ได้ทั้งหมดตามคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในครั้งแรกซึ่งศาลได้อนุญาตแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6013/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสันนิษฐานสถานะบริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษา ผู้ร้องมีสิทธิยื่นหลักฐานพิสูจน์สถานะได้ แม้พ้นกำหนด 8 วัน
ป.วิ.พ.ได้บัญญัติเกี่ยวกับสิทธิของผู้ร้องไว้ในมาตรา 296 จัตวา(3) คือถ้าผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยต่อศาลชั้นต้นเสียภายในกำหนดเวลา 8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลย การที่กฎหมายเพียงแต่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ร้องเป็นบริวารของจำเลยในกรณีที่ผู้ร้องมิได้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลยเสียภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศ แสดงว่ากฎหมายมิได้บัญญัติบังคับไว้โดยเด็ดขาดว่า ถ้าผู้ร้องไม่ได้ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาลภายในกำหนดเวลา 8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศแล้วผู้ร้องจะต้องเป็นบริวารของจำเลยสถานเดียวแม้ล่วงเลยกำหนดเวลา 8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศไปแล้วถ้าผู้ร้องมีหลักฐานสืบแสดงได้ว่าผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย ผู้ร้องก็ชอบที่จะยื่นคำร้องนำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ถึงสถานภาพของผู้ร้องได้ว่า ผู้ร้องไม่ใช่บริวารของจำเลย และแม้ผู้ร้องจะไม่ได้ขอขยายระยะเวลายื่นคำร้องเสียก่อนสิ้นระยะเวลา8 วันนับแต่วันที่เจ้าพนักงานบังคับคดีปิดประกาศก็ไม่ตัดสิทธิผู้ร้องที่จะยื่นคำร้องในภายหลังเพราะระยะเวลา 8 วันดังกล่าวเป็นเพียงระยะเวลาที่กฎหมายสันนิษฐานถึงสถานภาพของบุคคลว่าใช่หรือไม่ใช่บริวารของลูกหนี้ตามคำพิพากษาเท่านั้น มิใช่ระยะเวลาสิ้นสุดเพื่อให้ดำเนินหรือมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆตาม ป.วิ.พ.มาตรา 23

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5812/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยืนตามคำสั่งเดิมต่อคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวที่ศาลอุทธรณ์เคยมีไว้
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ปรากฎว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอให้พิจารณาใหม่นั้นศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาแล้วโดยพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นผลก็คือโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความฝ่ายตรงข้ามกับจำเลยผู้ขอคุ้มครองชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา264เป็นฝ่ายชนะคดีและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มิได้กล่าวถึงวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาที่ศาลอุทธรณ์ได้สั่งไว้ในระหว่างการพิจารณาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาย่อมเป็นอันยกเลิกไปในตัวตามมาตรา264วรรคสองประกอบมาตรา260(1)จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ต่อไปศาลฎีกาให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5782/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาใหม่หลังมีคำพิพากษา: จำเลยต้องแสดงเหตุผลชัดเจนว่ามีโอกาสชนะคดี
คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้พิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208เป็นคำสั่งภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาไปแล้วจึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้ง ซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลเพื่อแสดงว่าตนอาจชนะคดี ได้อย่างไร คงกล่าวแต่เพียงว่าจำเลยประสงค์จะสู้คดีต่อไป และมีทางชนะคดีได้เท่านั้น โดยไม่มีเหตุผลหรือหลักฐานอ้างอิงที่จะแสดงให้เห็นชัดแจ้งว่า หากมีการพิจารณาใหม่แล้วศาลอาจพิพากษาให้ชนะคดีได้ คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคสองที่ศาลจะสั่งให้พิจารณาใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5739/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอน ทำให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดได้
ปัญหาว่าจำเลยทั้งสามเป็นหนี้โจทก์กำหนดจำนวนได้แน่นอนหรือไม่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จำเลยทั้งสามมิได้ให้การไว้และมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในชั้นศาลอุทธรณ์ก็ยกขึ้นฎีกาได้ หนี้ที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามล้มละลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งจำเลยทั้งสามให้การยอมรับว่าเป็นหนี้ดังกล่าวจริงจึงผูกพันจำเลยทั้งสามและหนี้นั้นสามารถคิดคำนวณเป็นจำนวนแน่นอนได้จึงเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนโดยไม่จำต้องมีพยานบุคคลมาเบิกความประกอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5665/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับรู้คำพิพากษา แม้ส่งหมายนัดผิดพลาด การลงลายมือชื่อรับรู้มีผลเท่ากับการฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 4 โดยมิชอบ แต่เมื่อทนายจำเลยที่ 2และที่ 4 มาศาลและลงลายมือชื่อรับรู้การอ่านคำพิพากษาดังกล่าวแล้วก็มีผลเช่นเดียวกับการอ่านให้ตัวความฟังทุกประการ
of 189