คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าขึ้นศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 443 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9752/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพาทมรดก: ศาลพิจารณาพินัยกรรม, มูลค่าทรัพย์สิน, และค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่พิพาท
จดหมายท้ายคำร้องที่โจทก์ทั้งสามอนุญาตให้รวมไว้ในสำนวนโดยอ้างว่าเพิ่งพบหลังจากมีการสืบพยานโจทก์ทั้งสามและสืบพยานจำเลยทั้งสี่เสร็จสิ้นแล้ว เป็นเอกสารที่ศาลชั้นต้นไม่ได้นับไว้เป็นพยานเอกสารของฝ่ายโจทก์ทั้งสาม และฝ่ายจำเลยทั้งสี่ไม่มีโอกาสนำสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสามยกขึ้นอ้างนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คดีนี้โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2544 ที่ระบุยกทรัพย์มรดกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และ ณ. ซึ่งมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกแทนที่โดยโจทก์ทั้งสามอ้างว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ให้บังคับตามพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 ที่ระบุยกทรัพย์มรดกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ณ. และ ก. คนละ 1 ส่วนเท่า ๆ กัน กับขอให้พิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่เป็นบุคคลต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตาย คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นเงินได้ โดยจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทต้องพิจารณาจากผลได้ประโยชน์ของฝ่ายโจทก์ทั้งสามประกอบผลเสียประโยชน์ของฝ่ายจำเลยทั้งสี่หากโจทก์ทั้งสามชนะคดีเป็นเกณฑ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9752/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพาทเรื่องพินัยกรรม เพิกถอนพินัยกรรมปลอม การคิดมูลค่าทรัพย์สินเพื่อคำนวณค่าขึ้นศาล
จดหมายแนบท้ายคำร้องที่โจทก์ทั้งสามขออนุญาตให้รวมไว้ในสำนวนโดยอ้างว่าเพิ่งพบหลังจากสืบพยานโจทก์ทั้งสามและสืบพยานจำเลยทั้งสี่เสร็จสิ้นแล้ว เป็นเอกสารที่ศาลชั้นต้นไม่ได้รับไว้เป็นพยานเอกสารของฝ่ายโจทก์ทั้งสาม และฝ่ายจำเลยทั้งสี่ไม่มีโอกาสนำสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสามยกขึ้นอ้างนี้จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คดีนี้ โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้เพิกถอนพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 มีนาคม 2544 ที่ระบุยกทรัพย์มรดกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 และ ณ. ซึ่งมีจำเลยที่ 4 เป็นผู้มีสิทธิได้รับมรดกแทนที่ โดยโจทก์ทั้งสามอ้างว่าเป็นพินัยกรรมปลอม ให้บังคับตามพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2533 ที่ระบุยกทรัพย์มรดกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่โจทก์ทั้งสาม จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ณ. และ ก. คนละ 1 ส่วน เท่า ๆ กัน กับขอให้พิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่เป็นบุคคลต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกของผู้ตาย คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นเงินได้ โดยจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทต้องพิจารณาจากผลได้ประโยชน์ของฝ่ายโจทก์ทั้งสามประกอบผลเสียประโยชน์ของฝ่ายจำเลยทั้งสี่ หากโจทก์ทั้งสามชนะคดีเป็นเกณฑ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9610/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลเกี่ยวกับค่าขึ้นศาลในคดีอนุญาโตตุลาการต้องเป็นไปตามลำดับชั้นศาลตามกฎหมาย
ตาม พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2545 มาตรา 45 บัญญัติห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ (1) - (5)
คดีนี้ผู้ร้องอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้คัดค้านขยายระยะเวลาวางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ มิใช่เป็นการอุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลตามพระราชบัญญัตินี้ แต่เป็นเพียงการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นในเรื่องการตรวจรับอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. ภาค 3 ลักษณะ 1 ว่าด้วยการอุทธรณ์ ที่ผู้อุทธรณ์ต้องอุทธรณ์ไปตามลำดับชั้นศาล
และจะถือเป็นการอนุโลมว่าผู้ร้องประสงค์จะอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 223 ทวิ ก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะผู้ร้องมิได้ทำเป็นคำร้องมาพร้อมคำฟ้องอุทธรณ์เพื่อขออนุญาตอุทธรณ์ข้อกฎหมายต่อศาลฎีกา ตามหลักเกณฑ์ของบทบัญญัติมาตรา 223 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้องมายังศาลฎีกา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9174/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีละเมิดจากการฟ้องเท็จและเบิกความเท็จ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ คืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกิน
คดีแพ่งทั้งสองคดีในคดีก่อน จำเลยที่ 1 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 กับโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ให้ร่วมกันโอนที่ดินรวม 8 แปลง แก่จำเลยที่ 1 โดยโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 กับโจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 8 แปลงดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 จึงต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 8 แปลงดังกล่าวคืนให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการ โจทก์ร้องขอพิจารณาคดีใหม่ แต่ศาลยกคำร้อง คดีถึงที่สุดแล้ว คดีแพ่งทั้งสองคดีในคดีก่อนจึงมีประเด็นเพียงว่า จำเลยที่ 2 กับโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้ง 8 แปลงดังกล่าวแทนจำเลยที่ 1 หรือไม่ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันฟ้องเท็จและเบิกความเท็จในคดีแพ่งทั้งสองคดีในคดีก่อนอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คดีนี้รูปคดีจึงเป็นเรื่องละเมิดซึ่งมีประเด็นว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันฟ้องเท็จและเบิกความเท็จหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในภายหลังและศาลในคดีก่อนทั้งสองคดียังไม่ได้มีการวินิจฉัย ฟ้องโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งทั้งสองคดีดังกล่าว
อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์เป็นการโต้แย้งเรื่องอำนาจฟ้องมิได้ขอให้โจทก์ชนะคดี จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาเพียงชั้นละ 200 บาท ตามตาราง 1 ค่าธรรมเนียมศาล (2) ท้าย ป.วิ.พ. แต่โจทก์เสียมาอย่างคดีมีทุนทรัพย์ จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลในส่วนที่เสียเกินมาให้โจทก์ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8623/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีเพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดิน: การคำนวณค่าขึ้นศาลอุทธรณ์ตามทุนทรัพย์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินให้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงกลับคืนมาเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ซึ่งเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของ ส. เจ้ามรดก คดีของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอ ให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ มีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาททั้งสองแปลง เมื่อจำเลยที่ 4 และที่ 5 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นขอให้ยกฟ้อง จึงต้องชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์อย่างคดีมีทุนทรัพย์ตามตาราง 1 (1) (ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6912/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากไม่ชำระค่าขึ้นศาล และขอบเขตการจำหน่ายคดีเฉพาะส่วนอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยและบังคับตามฟ้องโจทก์ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ตามฟ้อง และทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้ง แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียงจำนวนเดียว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกโจทก์มาชำระค่าขึ้นศาลให้ครบภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โจทก์ยื่นคำร้องขอชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยจำนวน 1,000 บาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมภายใน 15 วัน โจทก์แถลงว่าไม่ประสงค์ที่จะชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงเป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนด ถือว่าเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 แต่ โจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในส่วนของฟ้องโจทก์ครบถ้วนแล้ว แม้โจทก์จะไม่ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 อันเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีได้เฉพาะอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งเท่านั้น จะสั่งจำหน่ายคดีทั้งหมดรวมทั้งอุทธรณ์ส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องของโจทก์ด้วยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6912/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากการไม่ชำระค่าขึ้นศาล และขอบเขตอำนาจศาลในการจำหน่ายคดีเฉพาะส่วน
คดีนี้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยและบังคับตามฟ้องโจทก์ ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ตามฟ้องจำนวน 238,329 บาท และทุนทรัพย์ตามฟ้องแย้งจำนวน 238,329 บาท แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพียงจำนวนเดียว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกโจทก์มาชำระค่าขึ้นศาลให้ครบภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด โจทก์ยื่นคำร้องขอชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งของจำเลยจำนวน 1,000 บาท และแถลงว่าไม่ประสงค์ที่จะชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงเป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246 แต่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ในส่วนของฟ้องโจทก์ครบถ้วนแล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ย่อมมีอำนาจสั่งจำหน่ายคดีได้เฉพาะอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งเท่านั้นจะสั่งจำหน่ายคดีทั้งหมดรวมทั้งอุทธรณ์ส่วนที่เกี่ยวกับคำฟ้องของโจทก์ด้วยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5687/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลให้วางค่าขึ้นศาลในคดีล้มละลายที่ไม่ถูกต้อง ผู้ร้องขอให้ศาลรับคำร้องพิจารณาปล่อยทรัพย์ที่ยึด
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 แต่เป็นของผู้ร้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะสอบสวนให้ได้ความเสียก่อน เพื่อพิจารณาว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดในคดีล้มละลายหรือไม่ แล้วดำเนินการต่อไป การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ด่วนสั่งยกคำร้องโดยปฏิเสธว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจสั่งถอนการยึด จึงมิใช่กรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนและมีคำสั่งไม่ให้ถอนการยึดตามที่ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 158 บัญญัติไว้ เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา จึงมิใช่เป็นการยื่นคำร้องขอเพื่อคัดค้านการยึดทรัพย์ต่อศาลตามมาตรา 158 ที่บัญญัติให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งชี้ขาดเหมือนอย่างคดีธรรมดาซึ่งผู้ร้องขอต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ขอให้ถอนการยึดนั้น แต่เป็นกรณีที่ผู้ร้องซึ่งได้รับความเสียหายโดยการกระทำหรือคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลตามมาตรา 146 ซึ่งตามตารางท้าย ป.วิ.พ. ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 179 วรรคท้าย มิได้กำหนดให้ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลหรือเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำร้องต่อศาล การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้ร้องวางเงินค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ขอให้ปล่อยก็ดี และมีคำสั่งไม่งดเว้นค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ก็ดี จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5687/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งให้วางค่าขึ้นศาลในคดีล้มละลายที่ไม่ถูกต้อง ผู้ร้องขอให้ศาลรับคำร้องเพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ไม่ใช่ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 แต่เป็นของผู้ร้อง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบที่จะสอบสวนให้ได้ความเสียก่อน เพื่อพิจารณาว่าผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดในคดีล้มละลายหรือไม่ แล้วดำเนินการต่อไป การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ด่วนสั่งยกคำร้องโดยปฏิเสธว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอำนาจสั่งถอนการยึด จึงมิใช่กรณีที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนและมีคำสั่งไม่ให้ถอนการยึดตามที่ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 158 บัญญัติไว้
เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับคำร้องของผู้ร้องไว้พิจารณา จึงมิใช่เป็นการยื่นคำร้องขอเพื่อคัดค้านการยึดทรัพย์ต่อศาลตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 158 ที่บัญญัติให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งชี้ขาดเหมือนอย่างคดีธรรมดา ซึ่งผู้ร้องขอต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่ขอให้ถอนการยึดนั้น แต่เป็นกรณีที่ผู้ร้องซึ่งได้รับความเสียหายโดยการกระทำหรือคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลตาม มาตรา 146 ซึ่งตามตารางท้าย ป.วิ.พ. ประกอบ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 179 วรรคท้าย มิได้กำหนดให้ผู้ร้องต้องเสียค่าขึ้นศาลหรือเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำร้องต่อศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4622/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ทำให้การอุทธรณ์ไม่ชอบ แม้จะชำระในชั้นฎีกาก็ไม่ทำให้การอุทธรณ์ชอบขึ้น
ป.วิ.พ. มาตรา 150 (เดิม) ประกอบมาตรา 246 บัญญัติให้คู่ความฝ่ายที่ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์ต้องนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์มาวางตามที่ศาลกำหนด หากไม่นำมาวาง อุทธรณ์ย่อมไม่ชอบ คดีนี้ศาลชั้นต้นให้เวลาจำเลยที่ 1 นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งมาวางศาลให้ครบถ้วน โดยจำเลยที่ 1 ขอขยายระยะเวลาการวางเงินหลายครั้งเป็นเวลานานถึง 2 ปีเศษ การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งประกอบธุรกิจที่มีมูลค่าทางธุรกิจสูงดังเช่นทำสัญญากับโจทก์คดีนี้ในวงเงินถึง 160,000,000 บาท ไม่นำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนฟ้องแย้งมาวางศาลให้ครบถ้วน โดยอ้างเหตุขอเลื่อนการนำเงินมาวางหลายครั้งและเป็นเวลานานดังกล่าว ทำให้คดีต้องเนิ่นช้าออกไปและทำให้โจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐต้องเสียหาย พฤติการณ์ดังกล่าวส่อไปในทางที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาที่จะประวิงคดี ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ส่วนฟ้องแย้งเฉพาะส่วนเท่าจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 วางเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ไว้ เป็นการไม่ชอบ เมื่ออุทธรณ์ในส่วนนี้ไม่ชอบ ถึงแม้ต่อมาในชั้นฎีกาจำเลยที่ 1 ชำระค่าขึ้นศาลในส่วนฟ้องแย้งนี้มาครบถ้วน ก็ไม่ทำให้อุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นชอบด้วยกฎหมายขึ้นได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในส่วนฟ้องแย้งที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับมา จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ
of 45