พบผลลัพธ์ทั้งหมด 599 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1356/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าเลี้ยงดูหลังหย่า: สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพัน แม้จะบอกล้างสัญญาอื่นไม่ได้
โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญายอมหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันและจำเลยยอมจ่ายค่าเลี้ยงดูให้โจทก์ 50,000 บาท ปรากฏในบันทึกประจำวันของสถานีตำรวจภูธรอำเภอชุมแพ บันทึกดังกล่าวมีลักษณะเป็นทั้งสัญญาหย่าและสัญญาประนีประนอมยอมความที่จะจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์เมื่อหย่ากันแล้ว และคู่กรณีอาจตกลงกันให้ชำระค่าเลี้ยงชีพครั้งเดียว เป็นจำนวนเงินตามที่ตกลงกันได้ จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงชีพ 50,000 บาทให้โจทก์ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ได้ทำไว้นั้น
สัญญาที่จำเลยยอมจ่ายเงินให้โจทก์ 50,000 บาทนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าเลี้ยงชีพของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 ซึ่งหมายถึงเงินเลี้ยงชีพหลังจากที่ได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันแล้ว จึงไม่ใช่สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างเป็นสามีภรรยากันตามมาตรา 1469 จำเลยไม่มีสิทธิอ้างมาตรานั้นมาเป็นเหตุบอกล้างสัญญานี้
สัญญาที่จำเลยยอมจ่ายเงินให้โจทก์ 50,000 บาทนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเกี่ยวกับค่าเลี้ยงชีพของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1526 ซึ่งหมายถึงเงินเลี้ยงชีพหลังจากที่ได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันแล้ว จึงไม่ใช่สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างเป็นสามีภรรยากันตามมาตรา 1469 จำเลยไม่มีสิทธิอ้างมาตรานั้นมาเป็นเหตุบอกล้างสัญญานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1332/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประนีประนอมยอมความที่ไม่สมบูรณ์และผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
ระหว่างส่งประเด็นไปสืบพยานที่ศาลอื่นโจทก์และจำเลยร่วมกันยื่นคำร้องว่าโจทก์และจำเลยตกลงกันได้แล้ว โดยจำเลยยอมชำระเงินให้โจทก์ 30,000 บาท ภายใน 3 ปี ขอให้ศาลเรียกสำนวนคืนมาทำสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ในนัดต่อ ๆ มาปรากฏว่าโจทก์จำเลยตกลงประนีประนอมยอมความกันไม่ได้ศาลได้ดำเนินการพิจารณาต่อมา ดังนี้ คำร้องดังกล่าวหาเป็นการผูกพันโจทก์ไม่ศาลจะถือว่าได้สละประเด็นอื่น ๆ ทั้งสิ้นแล้วจึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 30,000 บาท ในกำหนด 3 ปี หาได้ไม่ 2 หมายเหตุ มาจากสหกรณ์ขาดข้อมูลหลักกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 857/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้เงินกู้ไม่เป็นลาภมิควรได้ แม้จะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้กู้เงินจำเลย 5,000 บาท แต่ทำสัญญากู้กันไว้ 8,000 บาท โจทก์ผ่อนชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้จำเลยแล้วรวม 5,300 บาท ต่อมาจำเลยฟ้องโจทก์เรียกเงินต้นและดอกเบี้ย รวม 9,150 บาท โจทก์จำเลยได้ตกลงกันนอกศาล โดยจำเลยยอมให้โจทก์หักเงินจำนวน 5,300 บาท ออกจากทุนทรัพย์ในคดีและจำเลยยอมรับเงินเพียง 4,200 บาท แต่โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลโดยโจทก์ยอมชำระเงินให้จำเลยเต็มตามฟ้องภายใน 1 เดือน ครั้นครบกำหนดตามยอมจำเลยไม่ยอมรับชำระเงิน 4,200 บาท แต่กลับขอให้บังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ทำกันไว้ในศาลดังกล่าว จึงขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงิน 5,300 บาท ที่โจทก์ได้ชำระให้แก่จำเลยไปดังกล่าว ดังนี้ เมื่อตามฟ้องปรากฏชัดอยู่แล้วว่า ที่จำเลยได้รับเงิน 5,300 บาทจากโจทก์ไว้ เพราะโจทก์ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่จำเลย (ชำระหนี้เงินจำนวนดังกล่าวก็โดยอาศัยที่โจทก์เป็นหนี้เงินกู้จำเลยอยู่) จึงเป็นกรณีที่มีมูลอันจำเลยจะอ้างได้ตามกฎหมาย ไม่เป็นลาภมิควรได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 406 โจทก์จึงเรียกเงินที่ชำระไปดังกล่าวแล้วคืนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำเกี่ยวกับทรัพย์มรดก แม้เป็นทรัพย์เดิมหรือต่างกัน หากเคยมีข้อพิพาทและประนีประนอมยอมความแล้ว ถือเป็นการฟ้องซ้ำ
โจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งทรัพย์มรดกในฐานะทายาทโดยพินัยกรรมศาลพิพากษาตามยอมแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อีกขอแบ่งเงินฝากธนาคารในฐานะทายาทโดยธรรมและโดยพินัยกรรมเป็นการฟ้องซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์อย่างเดียวหรือคนละอย่างกับทรัพย์ในคดีก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2142/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความ: จำเลยต้องทำให้ที่ดินปลอดจำนองก่อนโจทก์วางเงิน
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาลว่า จำเลยยอมขายที่ดินพร้อมอาคารพิพาทให้โจทก์โดยปลอดจำนอง ดังนี้ จำเลยจะต้องทำให้ที่ดินและอาคารดังกล่าวปลอดจำนองเสียก่อนจึงจะขอให้โจทก์วางเงินค่าที่ดิน ตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ส่วนปัญหาค่าซ่อมแซมอาคารพิพาทซึ่งโจทก์อ้างว่าชำรุดทรุดโทรมไปจากเดิม เป็นเรื่องนอกเหนือจากกรณีที่จะต้องบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลจะวินิจฉัยให้หักเงินค่าที่ดินและอาคารพิพาทในชั้นบังคับคดีนี้หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความจากการอยู่กินฉันสามีภริยา ไม่ขัดต่อศีลธรรม ไม่ต้องรับความยินยอมจากภริยา
จำเลยมีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว ได้มาอยู่กินกับโจทก์ฉันสามีภริยา ต่อมาโจทก์จำเลยได้ตกลงเลิกอยู่ด้วยกันโดยจำเลยจะให้เงินโจทก์ 40,000 บาท และได้ขอให้พนักงานสอบสวนจดบันทึกข้อตกลงนั้นไว้ในรายงานประจำวันแล้วโจทก์จำเลยลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน บันทึกข้อตกลงดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย มีผลสมบูรณ์ให้จำเลยต้องปฏิบัติตามไม่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน ไม่เป็นโมฆะ
ตามบันทึกข้อตกลงของโจทก์จำเลยมีความว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส อยู่กินด้วยกันมาประมาณ 7 ปี ต่อมาไม่เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย จึงประสงค์ขอเลิกจากการเป็นสามีภริยา โดยจำเลยได้ขอเงินโจทก์ 40,000 บาท เป็นค่าที่ได้อยู่กินกันมา บันทึกดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่หรือจะมีขึ้นเนื่องจากความไม่เข้าใจกัน โจทก์จำเลยจึงตกลงเลิกจากการอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา โดยจำเลยตกลงให้เงินเป็นการตอบแทนที่โจทก์อยู่กินด้วยกันมากับจำเลย ถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 มิใช่สัญญาให้โดยเสน่หา จำเลยจึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากภริยาก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 (3)
ตามบันทึกข้อตกลงของโจทก์จำเลยมีความว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส อยู่กินด้วยกันมาประมาณ 7 ปี ต่อมาไม่เข้าใจกันทั้งสองฝ่าย จึงประสงค์ขอเลิกจากการเป็นสามีภริยา โดยจำเลยได้ขอเงินโจทก์ 40,000 บาท เป็นค่าที่ได้อยู่กินกันมา บันทึกดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาทที่มีอยู่หรือจะมีขึ้นเนื่องจากความไม่เข้าใจกัน โจทก์จำเลยจึงตกลงเลิกจากการอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา โดยจำเลยตกลงให้เงินเป็นการตอบแทนที่โจทก์อยู่กินด้วยกันมากับจำเลย ถือได้ว่าเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 มิใช่สัญญาให้โดยเสน่หา จำเลยจึงไม่ต้องได้รับความยินยอมจากภริยาก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1473 (3)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1185/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ตัดสิทธิผู้ค้ำประกัน หากไม่มีเจตนาสละสิทธิชัดเจน
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกัน ให้รับผิดใช้เงินแก่โจทก์ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้อง ตามคำให้การต่อสู้คดีของจำเลยที่ 2 ก็มิได้ปฏิเสธว่า จำเลยที่ 2 มิใช่ผู้ค้ำประกัน คงปฏิเสธเพียงว่าจำเลยที่ 1 ชำระเงินกู้คืนโจทก์แล้วบางส่วน จำเลยที่ 2 ขอรับผิดเฉพาะส่วนที่ยังค้างอยู่เท่านั้น วันนัดคู่ความมาพร้อมกัน เมื่อคู่ความตกลงกันได้ และศาลชั้นต้น ทำ สัญญาประนีประนอมยอมความให้โดยจำเลยที่ 1 ยินยอมรับผิด ใช้ เงินแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ก็ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ด้วย ดังเห็นได้จากที่จำเลยที่ 2 ลงชื่อรับรู้ไว้ท้ายสัญญาดังกล่าว และรายงานกระบวนพิจารณาของศาล แม้ข้อความในสัญญาประนีประนอมยอมความจะไม่ได้ระบุถึงความรับผิดของจำเลยที่ 2 ไว้ แต่ตามพฤติการณ์คดีนี้ไม่มีข้อใดแสดงให้เห็นว่า โจทก์ไม่ติดใจให้จำเลยที่ 2 ต้องผูกพันรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันอีกต่อไป และรายงานกระบวนพิจารณาของศาลก็มิได้จดแจ้งไว้เช่นนั้น กรณีนี้เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ดังที่ได้ทำสัญญาไว้กับโจทก์แต่เดิม และที่โจทก์ฟ้องบังคับจำเลยที่ 2 ให้รับผิดเป็นคดีนี้ เมื่อโจทก์บังคับคดียึดทรัพย์จำเลยที่ 1 ได้ไม่พอชำระหนี้ก็ชอบที่จะขอให้บังคับคดีแก่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันในจำนวนหนี้ที่ยังขาดอยู่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้กระบวนการพิจารณาเป็นโมฆะ และสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำหลังจากการส่งหมายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ไม่มีผลผูกพัน
เจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย จำเลยไม่ยอมรับ เจ้าพนักงานศาลจึงวางหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไว้ต่อหน้าจำเลยโดยมิได้มีพนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ที่มีอำนาจหรือเจ้าพนักงานตำรวจไปด้วยเพื่อเป็นพยานไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 78 และการที่เจ้าพนักงานศาลส่งหมายแจ้งวันนับสืบพยานโจทก์ให้จำเลยทราบโดยวิธีปิดหมาย โดยศาลมิได้สั่งให้ส่งโดยวิธีนี้ ไม่ชอบด้วยมาตรา 79 จึงต้องถือว่าศาลยังมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่นั้นมาจึงเป็นการไม่ชอบและไม่มีผลตามกฎหมาย ดังนั้น การที่จำเลยถูกจับกุมตัวมาศาลเพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลและจำเลยแถลงต่อศาลว่ายินดีที่จะโอนที่ดินตามคำพิพากษาให้โจทก์ จึงไม่มีผลไปด้วย
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับการส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยโดยไม่ชอบนั้น เป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การนั้นเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยให้ถูกต้องแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องกับการส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยโดยไม่ชอบนั้น เป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การนั้นเป็นไปด้วยความยุติธรรม และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อความปรากฏแก่ศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ย่อมพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยให้ถูกต้องแล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2309/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความมรดก: ไม่จำเป็นต้องตั้งผู้จัดการมรดก
ทายาททำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งมรดกกันแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งผู้จัดการมรดก ศาลยกคำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2049/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญาประนีประนอมโดยทายาทผู้จัดการมรดก ไม่ต้องได้รับอนุญาตจากศาลหากทำในฐานะทายาท ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจปกครอง
บิดาตาย เจ้าหนี้ฟ้องมารดาเด็กบังคับจำนอง เป็นการฟ้องทายาทตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1737,1738 มารดาทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีได้ ไม่ต้องรับอนุญาตจากศาลก่อน ไม่ใช่ทำในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครองตาม มาตรา 1546 มารดามาฟ้องในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กว่าสัญญาประนีประนอมนั้นไม่ผูกพันเด็กไม่ได้