พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,439 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4760/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษความผิดหลายกรรมต่างกันในคดีพรากผู้เยาว์ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืน ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้อง
แม้โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานพรากผู้เยาว์กับฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังเป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานพรากผู้เยาว์บทหนักนั้น ยังไม่ถูกต้อง เนื่องจากกรณีเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ศาลฎีกาปรับบทลงโทษให้ถูกต้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4632/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมและใช้เอกสารปลอม, รอยตราปลอม, และความผิดตาม พ.ร.ก.คนเข้าเมือง ศาลพิจารณาความผิดแต่ละกรรมและลงโทษตามบทหนัก
จำเลยปลอมสำเนาทะเบียนคนเกิด ท.ร.22 และบัตรประจำตัวประชาชนเป็นการปลอมเอกสารคนละประเภทแตกต่างกันมีผลเป็นความผิดในตัวเองแยกจากกันได้ เป็นความผิดสองกรรมแต่การที่จำเลยที่ 1 ปลอมดวงตราและรอยตราประทับลงบนเอกสารสองฉบับดังกล่าว เป็นเพียงการร่วมประกอบให้สำเนาทะเบียนคนเกิดท.ร.22 และบัตรประจำตัวประชาชนที่จำเลยที่ 1 ทำขึ้นมีลักษณะข้อความและรอยตราประทับเหมือนเอกสารแท้จริงเพื่อผู้ที่พบเห็นจะได้หลงเชื่อตามเจตนาของจำเลยที่ 1 เท่านั้นจึงเป็นการกระทำผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท คือการปลอมสำเนาทะเบียนคนเกิด ท.ร.22 เป็นความผิดตามมาตรา 365กับมาตรา 251 กระทงหนึ่ง และการปลอมบัตรประจำตัวประชาชนเป็นความผิดตามมาตรา 265 กับมาตรา 251 อีกกระทงหนึ่งเมื่อจำเลยที่ 3 นำเอกสารปลอมทั้ง 2 ฉบับ ดังกล่าว ไปใช้แสดงต่อเจ้าพนักงานตำรวจกองตรวจคนเข้าเมือง แม้กระทำในคราวเดียวกันก็ต้องมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้แต่ละกระทง และเมื่อจำเลยที่ 1ปลอมรอยตราและประทับรอยตราปลอมบนเอกสาร 2 ฉบับดังกล่าวและนำเอกสารดังกล่าวไปใช้ ย่อมเป็นความผิดฐานใช้รอยตราปลอมตามมาตรา 252 ด้วย ซึ่งจะต้องลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานปลอมรอยตราตามมาตรา 251 เพียงกระทงเดียวตามมาตรา 263 และความผิดฐานใช้รอยตราปลอมนี้เป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานใช้เอกสารปลอม จึงต้องลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 251 ประกอบมาตรา 263 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักกว่าโทษตามมาตรา 268ตามมาตรา 90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3917/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การก่อสร้างผิดแบบและการบังคับใช้กฎหมายควบคุมอาคาร การลงโทษและความผิดหลายกระทง
การก่อสร้างอาคารที่ผิดไปจากแผนผังบริเวณ แบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนตามที่ได้รับอนุญาตเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 31 อยู่ในตัว เมื่อจำเลยก่อสร้างอาคารผิดแบบแปลนและแผนผังบริเวณตามที่จำเลยได้รับอนุญาตถือได้ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 31 และมีโทษตามมาตรา 65 กรณีเจ้าพนักงานท้องถิ่นใช้อำนาจสั่งให้เจ้าของอาคารดำเนินการแก้ไขอาคารให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กำหนดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มาตรา 43 หากเจ้าของอาคารไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงตามคำสั่งมาตรา 43 วรรคสาม บัญญัติถึงมาตรการที่จะดำเนินการต่อไป โดยให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งรื้อถอนอาคารดังกล่าวในส่วนที่เห็นสมควร และให้นำมาตรา 42 วรรคสองวรรคสาม วรรคสี่ วรรคห้า มาใช้บังคับโดยอนุโลม การฝ่าฝืนคำสั่งตามมาตรา 43 หามีบทบัญญัติลงโทษเจ้าของอาคารผู้ฝ่าฝืนไม่ จำเลยเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างและอาคารที่ก่อสร้างเป็นอาคารเพื่อพาณิชยกรรม การกำหนดโทษปรับตามมาตรา 70จึงต้องคำนวณจากฐาน 1,000 บาท ตามมาตรา 69 หาใช่คำนวณจากฐาน 500 บาท ตามมาตรา 65 วรรคสอง ไม่ การที่จำเลยก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นเป็นความผิดกรรมหนึ่ง เมื่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างจำเลยฝ่าฝืนโดยยังคงทำการก่อสร้างต่อไปเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง และในส่วนที่ไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ถูกต้องตามกฎกระทรวงที่ออกตาม มาตรา 8 หรือข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ออกตามมาตรา 9 หรือมาตรา 10 เจ้าพนักงานท้องถิ่นจะต้องมีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารนั้นอีกครั้งหนึ่งตามมาตรา 40 วรรคสองและมาตรา 42 วรรคหนึ่ง และหากจำเลยฝ่าฝืนคำสั่งให้รื้อถอนก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งต่างหาก การกระทำของจำเลยเป็นความผิด 3 กระทงต่างกรรมกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3792/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าและลักทรัพย์ ศาลต้องลงโทษตามความผิดที่พยานหลักฐานรับฟังได้ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 3 ฆ่าผู้ตายแล้วจึงได้เอาทรัพย์สินและรถจักรยานยนต์ของกลางไป จำเลยที่ 3 จึงมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 กระทงหนึ่ง และฐานลักทรัพย์อีกกระทงหนึ่ง หามีความผิดฐานฆ่าผู้ตายเพื่อจะเอาทรัพย์สินตามมาตรา 289 (7) ไม่ แม้จำเลยที่ 3 จะให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาของศาลว่าได้กระทำความผิดฐานดังกล่าวด้วย แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำความผิดตามข้อหาที่ให้การรับสารภาพ ศาลก็ลงโทษในข้อหาความผิดที่รับสารภาพหาได้ไม่
เมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่การกระทำเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งมีโทษเบากว่ามาตรา 289 (7) และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ฎีกา ศาลก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225
เมื่อจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่การกระทำเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ซึ่งมีโทษเบากว่ามาตรา 289 (7) และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 4 จะมิได้ฎีกา ศาลก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 4 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3318/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดฐานลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายกับฐานวิ่งราวทรัพย์: ความแตกต่างและขอบเขตการลงโทษ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดและพาทรัพย์นั้นไป ไม่ได้บรรยายว่าจำเลยฉกฉวยพาหนีไปต่อหน้าอันเป็นองค์ประกอบความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ได้ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานวิ่งราวทรัพย์ด้วย จะลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ คงลงโทษจำเลยทั้งสองได้ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 2 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3107/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท ป.อ.มาตรา 286 และ พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี การลงโทษและขอบเขตการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยเรียงกระทงความผิด ตาม ป.อ.มาตรา 286 ที่แก้ไขแล้ว ให้จำคุก 7 ปี และตาม พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2503 มาตรา 9 ให้ปรับ 1,000 บาท รวมเป็นโทษจำคุก 7 ปี และปรับ 1,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเพียงว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 286ที่แก้ไขแล้ว ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนัก จำคุก 7 ปี เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 4 ปี 8 เดือนจึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย และยังคงลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 การที่จำเลยเป็นเจ้าของสถานการค้าประเวณีและดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงซึ่งค้าประเวณีในสถานการค้าประเวณีของจำเลยเองนั้น เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหาเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2517/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษตามกฎหมายยาเสพติด: ศาลต้องระบุมาตราและวรรคที่ผิดชัดเจน การแก้คำพิพากษาโดยอุทธรณ์ชอบแล้ว
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 8เป็นบทกำหนดโทษที่แก้ไขใหม่ของมาตรา 76 แห่ง พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2528 มาตรา 8เท่ากับลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 76(ที่แก้ไขใหม่) ซึ่งความผิดตามมาตรา 76 ดังกล่าวมีหลายวรรคแต่ละวรรคกำหนดโทษไว้แตกต่างกัน การที่ศาลชั้นต้นไม่ระบุว่าจำเลยมีความผิดวรรคใดย่อมไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์แก้เสียให้ถูกต้องได้ ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1915/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยอายุ 18 ปี นักศึกษา ทำร้ายร่างกาย ศาลพิจารณาเหตุบรรเทาโทษและรอการลงโทษ
ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 18 ปีเศษ และยังเป็นนักศึกษาไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน จึงมีเหตุอันควรปราณีรอการลงโทษเพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัว เป็นพลเมืองดี ต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1906/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษกระทงความผิดหลายกรรมในคดีอาญา: ลดโทษแล้วจึงรวมกระทง
จำเลยกระทำผิดฐาน พยายามฆ่าผู้อื่นโดย ไตร่ตรอง ไว้ก่อนตามป.อ. มาตรา 289(4)80 ฐาน มีอาวุธปืนไว้ในความครอบครอง และพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้าน และทางสาธารณะโดย ไม่ได้รับอนุญาตตามพ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา 772 วรรคสาม 8 ทวิ วรรคแรก 72 ทวิ วรรคสองศาลวางโทษจำคุกตลอด ชีวิต 3 ปี 6 เดือน และ 9 เดือน ตาม ลำดับ จำเลยให้การรับสารภาพต่อ ศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งโทษจำคุกตลอด ชีวิต เปลี่ยนเป็นโทษจำคุก 50 ปี จึง เหลือ 25 ปี ตาม ป.อ.มาตรา 5378 และโทษจำคุกฐาน มีอาวุธปืน ไว้ในความครอบครองและพาอาวุธปืน คงเหลือโทษจำคุก 9 เดือน และ 4 เดือน 15 วัน ตาม ลำดับ รวมกระทงความผิดทั้งหมดเป็นโทษ จำคุก 25 ปี 13 เดือน 15 วัน ดังนี้ แม้ จำเลยต้องโทษสำหรับกระทง ที่ศาลกำหนดโทษจำคุกตลอด ชีวิต แล้ว ก็สามารถนำโทษสำหรับความผิด กระทงอื่นมารวมเข้าอีก เพราะการปรับบทลงโทษจำคุกในคดีนี้ ยังจะต้อง ลดโทษจำคุกในความผิดแต่ ละกระทงเสียก่อนจึงจะนำโทษ จำคุกที่ลดแล้วมารวมกัน ทั้งกรณีมิใช่เป็นการเพิ่มโทษจำเลยแต่ เป็น การเรียงกระทงลงโทษในการกระทำอันเป็นความผิดหลายกรรม ตาม ป.อ. มาตรา 91.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1878/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษกระทงความผิด – ศาลชั้นต้นไม่ได้พิพากษาลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด จำเลยจึงฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลชั้นต้นมิได้กล่าวให้พอเป็นที่เข้าใจว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิด 4 กรรม และให้ลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แม้จะยก ป.อ. มาตรา 91 ซึ่ง เป็นบทบัญญัติให้ศาลลงโทษผู้กระทำผิดทุกกรรมเป็นกระทงความผิดในกรณีที่กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่าง กันขึ้นปรับ ก็ไม่พอถือ ว่า ศาลชั้นต้นได้ พิพากษาลงโทษจำเลยทั้ง 4 กรรมเป็นกระทงความผิดไปแล้ว ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยกระทงเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษ 4 กระทง เป็นการแก้ไขเล็กน้อย เมื่อศาลอุทธรณ์ ยังคงลงโทษจำคุกแต่ ละกระทงไม่เกินห้าปี จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218.