คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
โมฆะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,314 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 836/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายโมฆะเนื่องจากผู้ขายไม่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน และการสำคัญผิดในสาระสำคัญ
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ภริยาของจำเลยได้รับยกให้ฝ่ายเดียวในระหว่างอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยโดยมิได้จดทะเบียนสมรสจึงบังคับตามบทบัญญัติเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาไม่ได้ทั้งมิใช่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ด้วยกันที่จะแบ่งกึ่งหนึ่งในฐานะหุ้นส่วนได้ เมื่อที่ดินพิพาทมิใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลยการที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวกับโจทก์ จึงเป็นกรณีที่จำเลยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม เป็นเหตุให้นิติกรรมดังกล่าวตกเป็นโมฆะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 836/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินโมฆะจากความผิดพลาดในกรรมสิทธิ์: จำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินที่นางตาได้รับยกให้
เมื่อจำเลยและนาง ต. มิได้จดทะเบียนสมรสกัน ที่ดินพิพาทที่นางต. ได้รับการยกให้จากพี่ชายในระหว่างที่อยู่กินด้วยกันกับจำเลย จึงบังคับตามบทบัญญัติเรื่องทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาไม่ได้ และที่ดินพิพาทดังกล่าวนาง ต. ได้รับการยกให้ฝ่ายเดียวจึงมิใช่ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ด้วยกันกับจำเลย อันจะแบ่งในฐานะหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งดังที่โจทก์อ้าง จำเลยจึงไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทเลย การที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวกับโจทก์จึงเป็นกรณีที่จำเลยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7367/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีโมฆะการสมรส: การสิ้นสุดการสมรสด้วยการตายตัดสิทธิทายาทในการฟ้อง
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้มิได้มีการตั้งเป็นประเด็นแห่งคดีไว้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค2ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามนัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5) บิดาโจทก์ถึงแก่ความตายไปแล้วก่อนโจทก์ฟ้องการสมรสระหว่างบิดาโจทก์กับจำเลยได้ขาดจากกันเพราะเหตุบิดาโจทก์ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1501แล้วการสมรสนั้นจึงไม่มีผลกระทบกระเทือนหรือโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะทายาทของบิดาคู่สมรสเดิมอันจะก่อให้เกิดสิทธิหรืออำนาจที่จะฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเป็นโมฆะทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้กล่าวแสดงว่าจำเลยได้กระทำสิ่งใดอันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์เช่นสิทธิในครอบครัวสิทธิในมรดกของบิดาโจทก์ผู้ตายหรือสิทธิอื่นใดซึ่งจะเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55ถือว่าตามฟ้องไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7316/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ไม่จดทะเบียนเป็นโมฆะ แม้มีการชำระเงินบางส่วน
แม้ตามสำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องไม่ได้ระบุว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขาย เพียงแต่ระบุว่า วันนี้นายบัว เครือวงศ์ (โจทก์) ได้นำเงินมาชำระค่าบ้านและที่ดินจำนวน 49,000 บาท โดยราคาซื้อขายตกลงเป็นเงิน88,200 บาท ยังค้างจ่ายอีก 39,200 บาท ผู้ซื้อจะนำมาชำระให้ผู้ขายภายในเดือนพฤษภาคม 2526 จำนวน 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 29,200 บาท ถ้าผู้ซื้อไม่นำมาจ่ายให้ในเดือนถัดไป ผู้ขายจะคิดดอกเบี้ยตามเงินที่ค้างจ่ายทุกเดือนตามกฎหมาย ถ้าหากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญา ยินยอมให้ผู้ขายฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตลอดค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมทุกอย่างในการทวงถามและฟ้องร้องตามความเป็นจริงโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ก็ตาม ซึ่งเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้วเห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายกันเด็ดขาดโดยชำระราคาในวันซื้อขายส่วนหนึ่งและผ่อนชำระราคาที่เหลืออีกส่วนหนึ่งหากไม่ชำระตามนัดก็ให้คิดดอกเบี้ยได้ตามกฎหมาย เมื่อทรัพย์ที่ซื้อขายกันเป็นอสังหา-ริมทรัพย์และทำหนังสือสัญญากันเอง มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายจึงเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 456 วรรคหนึ่ง จะฟ้องร้องบังคับตามสัญญามิได้ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมา ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7316/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ไม่จดทะเบียนเป็นโมฆะ แม้มีการผ่อนชำระ
แม้ตามสำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องไม่ได้ระบุว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขาย เพียงแต่ระบุว่า วันนี้นายบัว เครือวงศ์ (โจทก์) ได้นำเงินมาชำระค่าบ้านและที่ดินจำนวน 49,000 บาท โดยราคาซื้อขายตกลงเป็นเงิน 88,200 บาท ยังค้างจ่ายอีก 39,200 บาทผู้ซื้อจะนำมาชำระให้ผู้ขายภายในเดือนพฤษภาคม 2526จำนวน 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 29,200 บาท ถ้าผู้ซื้อไม่นำมาจ่ายให้ในเดือนถัดไป ผู้ขายจะคิดดอกเบี้ยตามเงินที่ค้างจ่ายทุกเดือนตามกฎหมาย ถ้าหากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญายินยอมให้ผู้ขายฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตลอดค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมทุกอย่างในการทวงถามและฟ้องร้องตามความเป็นจริงโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆก็ตาม ซึ่งเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้วเห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายกันเด็ดขาดโดยชำระราคาในวันซื้อขายส่วนหนึ่งและผ่อนชำระราคาที่เหลืออีกส่วนหนึ่งหากไม่ชำระตามนัดก็ให้คิดดอกเบี้ยได้ตามกฎหมาย เมื่อทรัพย์ที่ซื้อขายกันเป็นอสังหาริมทรัพย์และทำหนังสือสัญญากันเอง มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่งจะฟ้องร้องบังคับตามสัญญามิได้ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมา ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7233/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปิดหมายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้การพิจารณาคดีทั้งหมดเป็นโมฆะ จำเป็นต้องเริ่มกระบวนการใหม่
จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 1836/115 ส่วนบ้านเลขที่ 1836/116 นั้นไม่มีชื่อจำเลยอยู่ในสำเนาทะเบียนบ้านจึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลยหรือสำนักทำการงานของจำเลยการที่พนักงานเดินหมายไปปิดหมายนัดแจ้งกำหนดนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่บ้านเลขที่ดังกล่าว จึงเป็นการปิดหมายที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 77,79 ถึงแม้จะปรากฎว่าส.จะเคยแจ้งแก่เจ้าพนักงานศาลว่าจำเลยที่อยู่ ณ บ้านเลขที่ 1836/116 แต่ส.มิใช่คู่ความไม่มีอำนาจจะแจ้งแถลงไขความดังกล่าว จึงไม่ผูกมัดจำเลยในอันจะฟังว่าจำเลยมีภูมิลำเนาหรือภูมิลำเนาเฉพาะกาลณ บ้านเลขที่ดังกล่าว ที่จะมีผลให้การปิดหมายของพนักงานเดินหมายเป็นการปิดโดยชอบ การที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ฟังไปฝ่ายเดียวโดยที่จำเลยไม่ทราบนัดและไม่มาศาลนั้น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และทำให้กระบวนพิจารณาหลังจากนั้นต่อมาเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วยชอบที่จะต้องเพิกถอนเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 693/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงื่อนไขบังคับก่อนในสัญญาคืนเงินมัดจำ: ไม่ใช่โมฆะหากสำเร็จได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับบุคคลภายนอก
การที่จำเลยทั้งสองตกลงจะคืนเงินมัดจำให้โจทก์เมื่อจำเลยทั้งสองขายที่ดินได้นั้น จำเลยทั้งสองจะขายที่ดินได้หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ความพอใจหรือสมัครใจของจำเลยทั้งสองแต่ฝ่ายเดียว แต่ขึ้นอยู่กับบุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้จะซื้อด้วยว่ามีความพอใจหรือไม่พอใจจะซื้อตามข้อเสนอของจำเลยทั้งสองหรือไม่เงื่อนไขบังคับก่อนดังกล่าวจึงไม่ใช่เงื่อนไขอันจะสำเร็จได้หรือไม่สุดแล้วแต่ใจของฝ่ายลูกหนี้จึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 190 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดตามสัญญารับสภาพหนี้ชั้นชี้สองสถาน ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 เป็นบันทึกการรับสภาพหนี้หรือไม่ โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามบันทึกดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองหรือไม่ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า แม้ข้อตกลงดังกล่าวไม่เป็นโมฆะ จำเลยทั้งสองก็จะต้องคืนเงินมัดจำให้แก่โจทก์เพราะคู่สัญญาตกลงเลิกสัญญาโดยไม่มีฝ่ายใดผิดสัญญา คู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิมนั้น จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น ไม่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6810/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจะซื้อขายที่ดินจัดสรรภายในระยะห้ามโอนเป็นโมฆะ แม้เจตนาจะจดทะเบียนภายหลัง
ที่ดินที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ได้มาตาม พ.ร.บ. จัดสรรที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511 นั้น ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันได้รับโอนที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี และที่ดินประเภทนี้ก็ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี การที่โจทก์กับจำเลยทำสัญญาอันมีผลเป็นการโอนสิทธิในที่พิพาทโดยส่งมอบการครอบครองให้แก่กัน ภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมาย แม้จะเป็นสัญญาจะซื้อขาย และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทกันภายหลังเมื่อครบกำหนดเวลาห้ามโอนตามกฎหมายแล้วก็ตามก็เป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 113 (เดิม),140 (ใหม่)
จำเลยฎีกาว่าคดีเกี่ยวกับที่ดินอันเป็นที่ทำกินของประชาชนซึ่งมีราคาสูงขึ้น ผู้ทำสัญญาจะขายมักจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมขาย ทำให้เกิดความไม่ชอบธรรมในสังคม ศาลชอบที่จะหยิบยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยนั้น เป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และมิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6810/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินช่วงห้ามโอนเป็นโมฆะ แม้เจตนาจดทะเบียนภายหลัง
ที่ดินที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ได้มาตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 นั้น ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันได้รับโอนที่ดิน ผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้ นอกจากตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณี และที่ดินประเภทนี้ก็ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี การที่โจทก์กับจำเลยทำสัญญาอันมีผลเป็นการโอนสิทธิในที่พิพาทโดยส่งมอบการครอบครองให้แก่กัน ภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมาย แม้จะเป็นสัญญาจะซื้อขาย และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทกันภายหลังเมื่อครบกำหนดเวลาห้ามโอนตามกฎหมายแล้วก็ตามก็เป็นกรรมสิทธิ์ที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113(เดิม),140(ใหม่) จำเลยฎีกาว่าคดีเกี่ยวกับที่ดินอันเป็นที่ทำกินของประชาชนซึ่งมีราคาสูงขึ้น ผู้ทำสัญญาจะขายมักจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมขายทำให้เกิดความไม่ชอบธรรมสังคม ศาลชอบที่จะหยิบยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยนั้น เป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และมิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6810/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินในช่วงระยะเวลาห้ามโอนตามพ.ร.บ.จัดสรรที่ดินเป็นโมฆะ
ที่ดินที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ได้มาตามพระราชบัญญัติจัดสรรที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511นั้นภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันได้รับโอนที่ดินผู้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนที่ดินนั้นไปยังผู้อื่นไม่ได้นอกจากตกทอดโดยทางมรดกหรือโอนไปยังสหกรณ์ที่ตนเป็นสมาชิกอยู่แล้วแต่กรณีและที่ดินประเภทนี้ก็ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดีการที่โจทก์กับจำเลยทำสัญญาอันมีผลเป็นการโอนสิทธิในที่พิพาทโดยส่งมอบการครอบครองให้แก่กันภายในกำหนดระยะเวลาห้ามโอนตามกฎหมายแม้จะเป็นสัญญาจะซื้อขาย และโจทก์กับจำเลยมีเจตนาจะจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทกันภายหลังเมื่อครบกำหนดเวลาห้ามโอนตามกฎหมายแล้วก็ตามก็เป็นกรรมสิทธิ์ที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมายสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา113(เดิม),140(ใหม่) จำเลยฎีกาว่าคดีเกี่ยวกับที่ดินอันเป็นที่ทำกินของประชาชนซึ่งมีราคาสูงขึ้นผู้ทำสัญญาจะขายมักจะบ่ายเบี่ยงไม่ยอมขายทำให้เกิดความไม่ชอบธรรมสังคมศาลชอบที่จะหยิบยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยนั้นเป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และมิได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคแรก
of 132