คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เจตนา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,077 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2318/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาในการเล่นแชร์เป็นองค์ประกอบสำคัญ หากจำเลยเพียงหลอกลวงเพื่อเอาเงิน ไม่ถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เล่นแชร์
การกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ.2534 มาตรา 4, 6 (1) (2), 17 ผู้กระทำจะต้องมีเจตนาจัดให้มีการเล่นแชร์หรือเป็นนายวงแชร์ที่แท้จริง ดังนี้ แม้ตามคำฟ้องตอนต้นระบุว่า จำเลยเป็นนายวงแชร์ 7 วง อันเป็นการจัดให้มีการเล่นแชร์มากกว่าสามวงและมีสมาชิกวงแชร์รวมกันทุกวงมากกว่าสามสิบคน และกระทำความผิดฐานฉ้อโกงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งเกี่ยวกับการจัดตั้งวงแชร์ของจำเลยต่อผู้เสียหายที่ 1 ถึงที่ 7 และประชาชนทั่วไป แต่ในคำฟ้องต่อไปได้อธิบายถึงพฤติการณ์ของจำเลยว่า ความจริงจำเลยไม่มีสมาชิกครบตามจำนวนวงแชร์ดังที่จำเลยแจ้งต่อผู้เสียหายทั้งเจ็ดและผู้อื่น แต่จำเลยอ้างหรือจัดตั้งชื่อผู้มีชื่อขึ้นมาเป็นสมาชิกเพื่อให้ครบตามจำนวนสมาชิกวงแชร์ อันเป็นความเท็จ โดยจำเลยมีเจตนาทุจริตเพื่อให้ผู้เสียหายทั้งเจ็ดและผู้อื่นหลงเชื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกวงแชร์เพื่อให้จำเลยได้เงินค่างวดแชร์จากผู้เสียหายแต่ละคน แสดงว่าจำเลยเพียงแต่อ้างการจัดให้มีการเล่นแชร์มาเป็นข้อหลอกลวงเพื่อให้ได้เงินค่างวดแชร์ จำเลยมิได้มีเจตนาจัดให้มีการเล่นแชร์อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามที่โจทก์ระบุในตอนต้นของคำฟ้อง ทั้งตามฟ้องโจทก์มิได้บรรยายชัดแจ้งว่าบุคคลที่เข้าร่วมเล่นแชร์กับจำเลยและผู้เสียหายทั้งเจ็ดในแต่ละวงที่แท้จริงมีจำนวนเท่าใด จึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปตกลงกันเป็นสมาชิกวงแชร์อันจะเป็นการเล่นแชร์ตาม พ.ร.บ.การเล่นแชร์ พ.ศ.2534 มาตรา 4 ดังนี้ แม้จำเลยให้การรับสารภาพ เมื่อพฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์บรรยายมาในคำฟ้องไม่อาจถือเป็นความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวย่อมไม่อาจลงโทษจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2068/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดความรับผิดในสัญญาขนส่งทางอากาศ: พิจารณาความได้เปรียบเสียเปรียบของผู้ทำสัญญาและเจตนาของผู้ส่ง
การจะพิจารณาว่าข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยทั้งสองตามใบรับขนของทางอากาศเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมหรือไม่ จะต้องพิจารณาว่าข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าวเป็นผลให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขและข้อจำกัดความรับผิดนั้นได้เปรียบผู้ส่งซึ่งเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเกินสมควรหรือไม่ เมื่อใบรับขนของทางอากาศซึ่งเป็นแบบฟอร์มของจำเลยที่ 2 มีช่องย่อยสำหรับให้ผู้ส่งกรอกสำแดงรายการราคาสินค้าเพื่อการขนส่ง ซึ่งไม่บังคับให้ผู้ส่งต้องสำแดง หากผู้ส่งไม่สำแดงราคาสินค้าเพื่อการขนส่ง ความรับผิดของจำเลยที่ 2 จะจำกัดไว้สูงสุดไม่เกิน 100 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อการขนส่ง 1 เที่ยว หรือ 20 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อน้ำหนักสินค้า 1 กิโลกรัม แล้วแต่จำนวนใดจะมากกว่า แต่หากประสงค์จะให้จำเลยที่ 2 รับผิดตามจำนวนราคาสินค้าที่สำแดงไว้เป็นจำนวนสูงกว่าข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าว ผู้ส่งจะต้องสำแดงราคาสินค้าเพื่อการขนส่งไว้ในใบรับขนของทางอากาศโดยเสียค่าธรรมเนียมการขนส่งบวกค่าบริการประกันภัยเพิ่มขึ้น ส่วนผู้ขนส่งคิดค่าระวางเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีต้นทุนเพิ่มขึ้นจากภาระในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน อันเป็นหนี้ที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องชำระตอบแทนกัน จึงถือเป็นหนี้ที่มีความสำคัญขนาดเดียวกันและเป็นธรรมแก่คู่สัญญาทั้งสองฝ่าย เมื่อผู้ส่งทราบถึงเงื่อนไขในการขนส่งและข้อจำกัดความรับผิดดังกล่าวแล้วไม่ได้ระบุราคาสินค้าเพื่อการขนส่ง แต่ได้ทำประกันภัยเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงภัยจากการสูญหายหรือเสียหายของสินค้าระหว่างขนส่งกับโจทก์เต็มมูลค่าของสินค้าอันเป็นทางเลือกอย่างอื่น แสดงให้เห็นชัดถึงเจตนาที่จะเข้าเอาประโยชน์จากการที่ไม่ต้องเสียค่าระวางเพิ่ม และหากสินค้าสูญหายหรือเสียหาย ผู้ส่งยังรับชดใช้ตามกรมธรรม์ประกันภัยเต็มมูลค่าของสินค้า ประกอบกับตามพฤติการณ์ ทางเลือกและทางได้เสียทุกอย่าง ผู้ส่งมิได้อยู่ในฐานะที่ต้องเสียเปรียบ หรือต้องผูกมัดให้ทำสัญญาโดยไม่มีผู้ประกอบการรายอื่นที่จะเลือกใช้บริการ ดังนั้น เงื่อนไขในการขนส่งและข้อจำกัดความรับผิดตามใบรับขนของทางอากาศดังกล่าวมิได้มีผลให้ผู้ส่งซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยรับภาระเกินกว่าวิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ หรือทำให้จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ขนส่งได้เปรียบผู้เอาประกันภัยเกินสมควรแต่อย่างใด ข้อจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 2 จึงมิใช่ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมและบังคับได้ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม พ.ศ.2540 มาตรา 4 และมาตรา 10

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1867/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายทางกาย แม้ไม่มีเจตนาทำร้าย แต่ผลที่เกิดขึ้นย่อมคาดการณ์ได้ และความผิดฐานพาอาวุธมีอายุความ
จำเลยใช้อาวุธมีดปลายแหลมจี้ขู่ผู้เสียหายและเอาโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้เสียหายและรถยนต์ของบิดาของผู้เสียหายที่อยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายไปและเมื่อการกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายเป็นผลให้จำเลยก็ต้องรับโทษหนักขึ้น แม้จำเลยจะฎีกาว่า ผู้เสียหายได้รับบาดแผลที่ต้นแขนซ้ายจากมีดของจำเลยเนื่องจากอุบัติเหตุ จำเลยไม่มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายซึ่งสอดคล้องกับที่ผู้เสียหายเบิกความ ผู้เสียหายไม่ทราบว่าไปโดนคมมีดตอนไหน เข้าใจว่าคงจะโดนตอนที่กลับตัวมาไขกุญแจรถ บาดแผลจึงไม่ได้เกิดจากจำเลยมีเจตนาใช้มีดทำร้ายผู้เสียหายก็ตามก็ไม่ใช่ข้อสำคัญ เพราะการที่จำเลยจะรับโทษหนักขึ้นด้วยเหตุที่ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายนั้น จำเลยไม่จำต้องกระทำโดยมีเจตนา เพียงแต่พิจารณาว่าผลที่ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายนั้น เป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้ตาม ป.อ. มาตรา 63 หรือไม่ เมื่อการที่จำเลยใช้มีดปลายแหลมจี้ผู้เสียหาย การที่ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กายจากมีดนั้น จึงย่อมเป็นผลธรรมดาที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยแล้ว จำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายแก่กาย
อนึ่ง ความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตาม ป.อ. มาตรา 371 มีระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท จึงมีอายุความ 1 ปี นับแต่วันกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 95 (5) ปรากฏว่าโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2545 เมื่อนับแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2543 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยกระทำผิดแล้วเป็นเวลาเกิน 1 ปี ความผิดฐานนี้จึงขาดอายุความที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 ด้วยจึงไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จะไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลล่างทั้งสอง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1637/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมกันจำหน่ายยาเสพติด: การแบ่งหน้าที่ชัดเจนแสดงเจตนา
การที่จำเลยที่ 2 กับพวกเป็นผู้เจรจาซื้อขายเมทแอมเฟตามีนกับดาบตำรวจ ช. โดยสอบถามจำนวนและกำหนดราคากันก่อน จากนั้นจำเลยที่ 2 พาดาบตำรวจ ช. กับสายลับไปพบ ว. และจำเลยที่ 1 เพื่อชำระเงินและรับเมทแอมเฟตามีน แสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกับจำเลยที่ 1 และ ว. แบ่งหน้าที่กันทำในการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามจำนวนที่ตกลงกันไว้ โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้เจรจาซื้อขาย และจำเลยที่ 1 กับ ว. เป็นผู้รับเงินและส่งมอบเมทแอมเฟตามีน อันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด มิใช่เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่การจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมพยายามฆ่า: การยั่วยุให้ผู้อื่นใช้ปืน และการแสดงเจตนาทำร้าย
จำเลยด่าผู้เสียหายโดยถือมีดและจอบไปด้วย อันมีลักษณะท้าทายพร้อมจะทำร้ายผู้เสียหาย การที่จำเลยตะโกนบอกให้ ส. กับ ร. ไปเอาอาวุธปืนมา แม้ ส. ใช้อาวุธปืนลูกโม่กับอาวุธปืนแก๊ปยาวยิงผู้เสียหายในทันทีภายหลังจากที่จำเลยบอกให้ไปเอาอาวุธปืน และเป็นการยิงขณะที่จำเลยด่าท้าทายผู้เสียหาย เมื่อ ส. ยิงผู้เสียหายจำเลยก็หลบหนีไปพร้อมกับ ส. ด้วย พฤติการณ์ที่แสดงถึงอาการยั่วยุและบอกให้ ส. ไปเอาอาวุธปืนมาเป็นการกระตุ้นให้ ส. ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย ภาษากายที่จำเลยแสดงออกส่อเจตนาว่าจำเลยร่วมเป็นตัวการใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย การที่ ส. ใช้ปืนเป็นอาวุธร้ายแรงยิงผู้เสียหายขณะก้มพาบุตรเข้าบ้านอันมีโอกาสเลือกยิง ทั้งกระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่มุมปากและคอซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ แสดงถึงเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายให้ตายแม้จะรักษาตัวเพียง 15 วัน ก็หายเป็นบาดแผลไม่รุนแรงแสดงว่ากระสุนปืนมีกำลังอ่อนก็ตาม แต่ยังปรากฏว่า ส. ได้ยิงผู้เสียหายอีก 2 นัด แต่กระสุนปืนไม่ลั่นซึ่งกระสุนปืนอาจลั่นอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15843/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำให้เกิดอุทกภัยตาม ป.อ.มาตรา 228 ต้องมีเจตนาโดยตรง การเล็งเห็นผลใช้ไม่ได้
ตาม ป.อ. มาตรา 228 จำเลยจะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะยกเอาการเล็งเห็นผลของการกระทำตามมาตรา 59 วรรคสอง มาใช้ไม่ได้
ที่นาของผู้เสียหายทั้งสองอยู่สูงกว่าที่นาของจำเลยและมีทางออกสู่คลองส่งน้ำสาธารณะได้ ที่นาของจำเลยซึ่งเป็นที่ลุ่มรองรับน้ำตามธรรมชาติที่ไหลมาจากที่สูงระบายลงสู่คลองส่งน้ำสาธารณะ การที่เจ้าของที่นาของผู้เสียหายที่ 1 ขุดร่องน้ำผ่านที่นาของตนไปยังที่นาของจำเลยทำให้น้ำระบายเข้าสู่ที่นาของจำเลยโดยตรงและไม่ใช่น้ำที่ระบายลงมาสู่ที่ต่ำโดยธรรมชาติ ที่นาของจำเลยจึงมีน้ำท่วมขังตลอดปีเพราะไม่สามารถระบายน้ำออกไปสู่คลองส่งน้ำสาธารณะได้ จำเลยถมดินลงไปในที่นาของตนเองปิดกั้นทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำที่ระบายมาจากร่องระบายน้ำดังกล่าวท่วมที่นาของจำเลย ผู้เสียหายทั้งสองไม่ทำการระบายน้ำออกคลองส่งน้ำสาธารณะซึ่งง่ายและสะดวกกว่าที่จะให้น้ำในที่นาของตนระบายออกโดยทางร่องน้ำที่ขุดขึ้น การกระทำของจำเลยไม่มีเจตนาทำให้เกิดอุทกภัยแก่ที่นาของผู้เสียหายทั้งสองตามมาตรา 228 จึงไม่เป็นความผิด แม้จำเลยมิได้ฎีกาแต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาและเป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 158/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมฆ่าผู้อื่น: การส่งมีดและให้กำลังใจถือเป็นเจตนาช่วยเหลือการกระทำผิด
การที่จำเลยทั้งสองเดินมาที่กลุ่มผู้ตาย และจำเลยที่ 1 ใช้ขวดสุราตีที่ศีรษะผู้ตาย 1 ครั้ง ผู้ตายลุกขึ้นยืน จำเลยที่ 2 ส่งมีดปลายแหลมให้จำเลยที่ 1 พร้อมกับพูดให้จำเลยที่ 1 แทงผู้ตาย จำเลยที่ 1 ก็รับมีดปลายแหลมจากจำเลยที่ 2 มาแทงผู้ตายที่บริเวณหน้าอก 1 ครั้ง แล้วจำเลยทั้งสองหลบหนีไปด้วยกัน ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตายด้วย หาใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15717/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาบุกรุกทำลายทรัพย์สิน ไม่ถึงขั้นปล้นทรัพย์ ศาลปรับบทลงโทษ
จำเลยที่ 2 กับพวกมีเจตนาบุกรุกเข้าไปทำร้ายคนในบ้านผู้เสียหาย เมื่อไม่พบก็นำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปเผา มิใช่มุ่งเอาประโยชน์จากทรัพย์จึงไม่ใช่เอาทรัพย์ไปโดยเจตนาทุจริต ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 กับพวกมีเจตนาลักทรัพย์ของผู้เสียหาย การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 กับพวกอีกประมาณ 10 คน บุกรุกเข้าไปในบริเวณบ้านพักอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายในเวลากลางคืนและใช้อาวุธปืนขู่เข็ญว่าจะทำร้ายผู้เสียหายและกลับออกไปพร้อมนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปด้วยกัน เป็นการเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันสมควรอันเป็นความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 365 (2) (3) แต่เนื่องจากโจทก์มีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตาม ป.อ. มาตรา 364 จึงมิอาจลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฐานความผิดดังกล่าวซึ่งมีโทษหนักกว่าที่โจทก์ขอและถือเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษ จึงลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานบุกรุกตาม ป.อ. มาตรา 364 เท่านั้น
จำเลยที่ 2 กับพวกเผารถจักรยานยนต์เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ซึ่งเป็นเจตนาแยกต่างหากจากเจตนาแรกที่บุกรุกเข้าไปจะทำร้ายบุคคลที่อยู่ในบ้านผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดต่างกรรมกัน แต่ข้อแตกต่างระหว่างความผิดฐานปล้นทรัพย์และฐานทำให้เสียทรัพย์ มิได้แตกต่างกันในสาระสำคัญ ทั้งจำเลยที่ 2 ก็มิได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทลงโทษจำเลยที่ 2 ในฐานความผิดที่ถูกต้อง และมีบทลงโทษเบากว่าที่โจทก์ฟ้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
เมื่อศาลฟังว่าจำเลยที่ 2 มิได้กระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่กระทำความผิดฐานบุกรุกและ ทำให้เสียทรัพย์ ย่อมเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งร่วมกระทำผิดแต่มิได้ฎีกาให้ได้รับประโยชน์ดุจจำเลยที่ 2 ผู้ฎีกาได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15630/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสนับสนุนการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์โดยมิชอบ แม้ไม่มีเจตนาตั้งแต่ต้น ศาลพิจารณาเป็นหลายกรรม
จำเลยมิได้ร่วมกับคนร้ายในการลักบัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหาย การใช้บัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายทำรายการเพื่อโอนเงินคงเป็นเรื่องของคนร้ายซึ่งทราบรหัสบัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายมิใช่จำเลยเป็นผู้กระทำ ไม่พอฟังว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ แต่การที่จำเลยยอมให้คนร้ายโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหายเข้าบัญชีของจำเลยและยอมให้คนร้ายใช้บัตรเอทีเอ็มของจำเลยเพื่อให้การลักทรัพย์เป็นผลสำเร็จดังกล่าว ถือเป็นเพียงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86
การลักเงินของผู้เสียหายโดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์เบิกถอนเงินผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติในแต่ละครั้ง ก็เป็นความผิดสำเร็จในตัวต่างกรรมต่างวาระกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15442/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกันพยายามฆ่า: การพิสูจน์เจตนาและบทบาทของจำเลยที่ 2 รวมถึงการแก้ไขโทษที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด
แม้จำเลยที่ 2 จะมีส่วนร่วมรู้เห็นที่จำเลยที่ 1 พาอาวุธปืนไปที่บ้าน ก. และเดินทางไปที่บ้าน ก. พร้อมกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมคบคิดที่จะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสี่มาตั้งแต่แรก การที่จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืน จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่ 1 ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนของกลางไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืน
of 408