พบผลลัพธ์ทั้งหมด 468 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3643/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดิน: การซื้อขายที่ดินโดยใช้ชื่อผู้อื่นเพื่อเหตุผลทางศาสนา ไม่ถือเป็นทรัพย์มรดก
แม้ ป. บิดาโจทก์จะมีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ที่พิพาทอันสันนิษฐานไว้ก่อนว่าป. ผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 ก็ตามแต่ทางนำสืบของโจทก์เป็นเรื่องเลื่อนลอยไม่น่าเชื่อ ส่วนพยานหลักฐานจำเลยมีน้ำหนักน่าเชื่อว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยซื้อมาแล้วให้ ป. เป็นผู้มีชื่อในเอกสารสิทธิดังกล่าวด้วยเหตุผลทางศาสนาอิสลามการที่จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกโดยอ้างว่า ที่พิพาทเป็นมรดกของ ป. เป็นเพียงต้องการให้ที่พิพาทซึ่งเป็นของจำเลยกลับโอนมาเป็นของจำเลยตามที่มีผู้แนะนำให้ดำเนินการเท่านั้น ไม่อาจฟังว่าที่พิพาทเป็นมรดกของ ป. ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทมิใช่ทรัพย์ของ ป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3538/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เคยวินิจฉัยแล้วย่อมเป็นเหตุให้ฟ้องซ้ำไม่ได้
คดีก่อนมีประเด็นพิพาทว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับ ส. จำนวนครึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาททั้งหกแปลงและได้ ยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยหรือไม่ คู่ความตกลงท้ากันว่าให้ส่งลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายของโจทก์ซึ่งพิมพ์ต่อหน้าศาลไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายตามที่ปรากฏในหนังสือคำยินยอมของคู่สมรสเอกสารหมาย จ. 1 และ จ. 2 หากผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าไม่ใช่ของโจทก์หรือไม่น่าเชื่อว่าเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสองยอมแพ้ ขอให้ศาล พิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส. 3. ก. เลขที่ 7 และเลขที่ 11 ให้แก่โจทก์ แต่ถ้าหากผล การตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าลายพิมพ์นิ้วมือตามเอกสารดังกล่าวใช่หรือน่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายของโจทก์ โจทก์ยอมแพ้ ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่า ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ เห็นว่า ลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้าย ตามเอกสารหมาย จ. 1 และ จ. 2 เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ โจทก์จึงเป็นฝ่ายแพ้คดี คดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์คดีนี้ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อนกลับมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้อีกโดยอ้างว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาททั้งหกแปลง แม้คดีนี้โจทก์จะอ้างเหตุว่าจำเลยประพฤติเนรคุณรวมอยู่ด้วย เช่นนี้ประเด็นพิพาทในคดีก่อนและคดีนี้ยังคงเป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งหกแปลงเช่นเดียวกัน ซึ่งได้รับ การวินิจฉัยมาแล้วในคดีก่อนจึงเป็นกรณีคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุ อย่างเดียวกัน เป็นฟ้องซ้ำ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3538/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เคยมีคำวินิจฉัยแล้ว แม้มีเหตุใหม่ก็ต้องห้ามฟ้องซ้ำ
คดีก่อนมีประเด็นพิพาทว่า โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับ ส. จำนวนครึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาททั้งหกแปลงและได้ยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยหรือไม่คู่ความตกลงท้ากันว่าให้ส่งลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายของโจทก์ซึ่งพิมพ์ต่อหน้าศาลไปตรวจสอบเปรียบเทียบกับลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายตามที่ปรากฏในหนังสือคำยินยอมของคู่สมรสเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2ถ้าหากผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่าลายพิมพ์นิ้วมือตามเอกสารดังกล่าวใช่หรือน่าเชื่อว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายของโจทก์ โจทก์ยอมแพ้ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏว่า ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจเห็นว่าลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือซ้ายตามเอกสารหมาย จ.1 และ จ.2 เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของโจทก์ โจทก์จึงเป็นฝ่ายแพ้คดี คดีถึงที่สุดแล้ว การที่โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนนิติกรรมการให้อีก โดยอ้างว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ครึ่งหนึ่งในที่ดินพิพาททั้งหกแปลง แม้คดีนี้โจทก์จะอ้างเหตุว่าจำเลยประพฤติเนรคุณรวมอยู่ด้วย แต่ประเด็นพิพาทในคดีก่อนและคดีนี้ยังคงเป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาททั้งหกแปลงเช่นเดียวกันซึ่งได้รับการวินิจฉัยมาแล้วในคดีก่อน จึงเป็นกรณีคู่ความเดียวกันรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเป็นฟ้องซ้ำ จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2126/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์กรรมสิทธิ์ที่ดินจากพยานหลักฐาน เอกสารสัญญาขาย และการครอบครอง โดยศาลไม่รับวินิจฉัยประเด็นพินัยกรรม
สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินเป็นเอกสารที่ส่งมาจากสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกอกน้อย แม้จะเป็นสำเนาเอกสารก็สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ เพราะต้นฉบับได้ส่งไปยังศาลแพ่งและศาลแพ่งแจ้งว่าตรวจหาแล้วไม่พบ เพราะมีการปลดเผาตามระเบียบแล้ว แสดงว่าต้นฉบับหนังสือดังกล่าวเป็นเอกสารที่มีอยู่จริงเพียงแต่หาต้นฉบับไม่ได้เท่านั้น
ประเด็นที่ว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยทางพินัยกรรมหรือไม่นั้น ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวถึงประเด็นข้อนี้อันจะอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น แม้ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นจะได้กำหนดเป็นประเด็นพิพาทไว้ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วโดยมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ประเด็นที่ว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยทางพินัยกรรมหรือไม่นั้น ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวถึงประเด็นข้อนี้อันจะอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น แม้ในชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นจะได้กำหนดเป็นประเด็นพิพาทไว้ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วโดยมิชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1816/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ที่ดินของพระภิกษุตกเป็นสมบัติของวัดเมื่อมรณภาพ การโอนขายธรณีสงฆ์ต้องเป็นไปตามกฎหมาย
ที่ดินพิพาทพระภิกษุ ส. ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศและเป็นกรรมสิทธิ์ของพระภิกษุ ส. ในขณะถึงแก่มรณภาพ จึงตกเป็นสมบัติของวัดจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 แต่วัดมิใช่ทายาทโดยธรรมของพระภิกษุที่ ถึงแก่มรณภาพตามมาตรา 1629 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 ร้องขอให้ ศาลตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดกของพระภิกษุ ส.จึงมิใช่กรณีทายาทร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกเพื่อจัดแบ่งมรดก ให้ทายาท การที่จำเลยที่ 2 จดทะเบียนรับโอนที่พิพาทในฐานะ ผู้จัดการมรดก จึงเป็นการถือกรรมสิทธิ์ที่พิพาทไว้แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยผลแห่งกฎหมาย แม้ก่อนถึงแก่มรณภาพพระภิกษุ ส. ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยร่วม และจำเลยร่วมได้ผ่อนชำระค่าที่ดินครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อพระภิกษุ ส. ถึงแก่มรณภาพ ที่ดินพิพาทตกเป็นสมบัติของจำเลยที่ 1 โดยเป็นที่ธรณีสงฆ์ซึ่งจะโอนกรรมสิทธิ์ ได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติ ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 มาตรา 33(2) และมาตรา 34 การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้จัดการมรดกพระภิกษุ ส. จดทะเบียนโอนขายที่พิพาทให้จำเลยร่วมแม้โดยความเห็นชอบของจำเลยที่ 1 จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150 หากจำเลยที่ 2ได้นำที่พิพาทไปทำสัญญาจะซื้อจะขายให้แก่โจทก์ โจทก์ก็ไม่มีอำนาจ ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1350/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินจากการครอบครองปรปักษ์ ศาลยกฟ้องเนื่องจากเคยวินิจฉัยแล้ว
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินรายเดียวกันกับคดีก่อน ซึ่งผู้คัดค้านในคดีนี้เป็นโจทก์ และผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์ โดยผู้ร้องอ้างเหตุในคดีก่อนว่า ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกคำร้องขัดทรัพย์โดยวินิจฉัยว่า ผู้ร้องครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะผู้จะซื้อ มิใช่ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ การที่ผู้ร้องมาร้องเป็นคดีนี้อ้างว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์อีก แม้ผู้ร้องอ้างว่าได้ชำระราคาที่ดินครบถ้วนแล้วก็ตาม แต่การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่าผู้ร้องชำระราคาค่าที่ดินครบถ้วนแล้วหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าผู้ร้องครอบครองโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของครบสิบปีแล้วหรือไม่ ดังนั้นการที่ผู้ร้องมาร้องเป็นคดีนี้ย่อมเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7490/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน กรรมสิทธิ์ยังอยู่เจ้าของเดิมจนกว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ การครอบครองไม่ทำให้ได้กรรมสิทธิ์
โจทก์ที่ 1 ที่ 3 และ ม. ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโดยในสัญญาซื้อขายระบุว่าได้ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยแต่ยังไม่ไปโอนกรรมสิทธิ์ เนื่องจากโจทก์ที่ 2 และที่ 5ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วจะโอนทันทีแสดงว่าสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเท่านั้นเพราะยังมีข้อตกลงจะไปโอนกรรมสิทธิ์ในภายหลัง ดังนั้นตราบใดที่ยังไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์กันตามข้อตกลงในสัญญากรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทยังคงอยู่แก่โจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นเจ้าของเดิม ถึงจำเลยจะเป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทก็ต้องถือว่าจำเลยครอบครองแทนโจทก์ทั้งห้า จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง แม้ว่าศาลจะมีคำสั่งว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองแล้วก็ตาม ก็ไม่อาจยกขึ้นต่อสู้ยันกับโจทก์ทั้งห้าซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทได้จำเลยไม่มีสิทธิที่จะขับไล่โจทก์ทั้งห้าออกจากที่ดินพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7420/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาถึงที่สุด: โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่เมื่อกรรมสิทธิ์ที่ดินตกเป็นของทายาทตามคำพิพากษา
ฟ้องโจทก์คดีนี้กับคดีที่โจทก์ถูกฟ้องเป็นจำเลยในคดีก่อน มีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยอยู่ในประเด็นเดียวกันว่า ที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทโจทก์เป็นเจ้าของและเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์นั้นโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทไว้แทน ผ. และต้องโอนกรรมสิทธิ์คืนผ. หรือไม่ ซึ่งศาลฎีกาได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาด คดีถึงที่สุดในคดีก่อนแล้วว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทไว้แทน ผ. และให้โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่ ส.ซึ่งเป็นทายาทของผ.เมื่อการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวเป็นการได้มาโดยผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ผ. และทายาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาคำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์ในคดีนี้มิให้โต้เถียงเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคแรก ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาคดีนี้ คดีได้ความว่าโจทก์มิใช่เจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้ ปัญหาว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246,247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7088/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีกรรมสิทธิ์ที่ดิน: ทุนทรัพย์, อัตราค่าทนายความ, และการคืนค่าขึ้นศาล
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุกเข้าไปครอบครอง ขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดินเป็น น.ส. 3 โจทก์ขอออกโฉนดที่ดินทับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลย คดีจึงมีประเด็นโต้เถียงกรรมสิทธ์ในที่ดินพิพาท เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินพิพาท
แม้โจทก์จะกล่าวมาในคำฟ้องว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยบุกรุกมีเนื้อที่ 1 งาน 47 ตารางวา แต่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความทั้งสองฝ่ายขอให้ทำแผนที่พิพาท ในการทำแผนที่พิพาทเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้รังวัดโดยคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นผู้นำชี้ และรับกันว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 1 งาน 33 ตารางวา จึงมีประเด็นโต้เถียงกรรมสิทธิ์ที่ดินกัน ในเนื้อที่ 1 งาน 33 ตารางวา ซึ่งคิดเป็นราคาในขณะที่ยื่นคำฟ้องเพียง 49,875 บาท คดีนี้จึงมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เป็นเงินจำนวนดังกล่าว แม้จำเลยจะเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ 55,125 บาท ก็ไม่ทำให้ทุนทรัพย์ในคดีเพิ่มขึ้นได้ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์เกินกว่าอัตราค่าทนายความขั้นสูงตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. ซึ่งเป็นการกำหนดโดยผิดกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้วินิจฉัย ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามตาราง 1 ข้อ 2 (ก) ท้าย ป.วิ.พ. สองร้อยบาท แต่จำเลยเสียเกินมาจึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมาแก่จำเลย
แม้โจทก์จะกล่าวมาในคำฟ้องว่าที่ดินพิพาทที่จำเลยบุกรุกมีเนื้อที่ 1 งาน 47 ตารางวา แต่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น คู่ความทั้งสองฝ่ายขอให้ทำแผนที่พิพาท ในการทำแผนที่พิพาทเจ้าพนักงานที่ดินเป็นผู้รังวัดโดยคู่ความทั้งสองฝ่ายเป็นผู้นำชี้ และรับกันว่าที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 1 งาน 33 ตารางวา จึงมีประเด็นโต้เถียงกรรมสิทธิ์ที่ดินกัน ในเนื้อที่ 1 งาน 33 ตารางวา ซึ่งคิดเป็นราคาในขณะที่ยื่นคำฟ้องเพียง 49,875 บาท คดีนี้จึงมีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์เป็นเงินจำนวนดังกล่าว แม้จำเลยจะเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในทุนทรัพย์ 55,125 บาท ก็ไม่ทำให้ทุนทรัพย์ในคดีเพิ่มขึ้นได้ คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์เกินกว่าอัตราค่าทนายความขั้นสูงตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. ซึ่งเป็นการกำหนดโดยผิดกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้
จำเลยฎีกาขอให้ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้วินิจฉัย ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาตามตาราง 1 ข้อ 2 (ก) ท้าย ป.วิ.พ. สองร้อยบาท แต่จำเลยเสียเกินมาจึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่เสียเกินมาแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 652/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วม: คำให้การไม่ชัดเจนไม่ก่อให้เกิดประเด็นพิพาท ศาลล่างวินิจฉัยถูกต้อง
โจทก์ทั้งสามฟ้องว่าโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของ กรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทซึ่งได้แบ่งการครอบครองเป็นส่วนสัด ตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้อง โจทก์ทั้งสามขอให้จำเลยทั้งสาม ไปจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ตามส่วนสัดที่แต่ละฝ่ายได้ครอบครองแล้ว จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามไปทำการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวให้แก่ โจทก์ทั้งสามครึ่งหนึ่งจำเลยทั้งสามให้การว่า เดิมที่ดินพิพาท เป็นกรรมสิทธิ์รวมของ ม. และส. ซึ่งได้แบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดมานาน 40 ปี แล้ว โดย ม. ครอบครองปลูกสร้างอยู่ทางทิศตะวันตกและส.ครอบครองปลูกสร้างบ้านอยู่ทางทิศตะวันออกต่อมาโจทก์ทั้งสามได้ครอบครองที่ดินส่วนของ ม.ส่วนจำเลยทั้งสามได้ครอบครองที่ดินส่วนของ ส. เห็นได้ว่าคำให้การของจำเลยทั้งสามดังกล่าวมิได้ระบุว่าโจทก์ทั้งสามกับจำเลยทั้งสามแบ่งแยกการครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัดจำนวนเนื้อที่ฝ่ายละเท่าใด เพื่อเป็นการปฏิเสธว่าข้อกล่าวอ้างของโจทก์ทั้งสามที่ว่าโจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวครึ่งหนึ่งนั้นไม่ถูกต้องอย่างไรจึงเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองไม่ก่อให้เกิดประเด็นพิพาทแม้จำเลยทั้งสามจะได้แถลงต่อศาลชั้นต้น ไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาถึงส่วนสัดของที่ดินที่จำเลยทั้งสาม ได้ครอบครองก็ตาม คำแถลงดังกล่าวก็มิใช่คำให้การไม่ก่อ ให้เกิดประเด็นพิพาทเช่นกัน