คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กรรมเดียวกัน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 59 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 639-640/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานแจ้งย้ายเข้าโดยไม่มีการย้ายจริง เป็นการทำเอกสารเท็จและปฏิบัติหน้าที่ทุจริต ถือเป็นกรรมเดียวกัน
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งผู้ช่วยนายทะเบียนท้องถิ่น รับแจ้งย้ายบุคคลเข้าอยู่ในบ้านอันเป็นการทำเอกสารเท็จและปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและจำเลยได้ย้ายบุคคลดังกล่าวไปอยู่ที่อื่นในการกระทำคราวเดียวกันกับที่จำเลยกรอกรายการย้ายเข้า จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: ฉ้อโกงกับการใช้เช็คเป็นกรรมเดียวกัน การฟ้องซ้ำจึงเป็นฟ้องซ้อน
การที่จำเลยนำเช็คมาแลกเงินสดกับโจทก์โดยจำเลยกล่าวหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จฯ นั้น ความผิดฐานฉ้อโกงกับความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค จนศาลประทับฟ้องแล้ว โจทก์จะมาฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2410/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน – ฉ้อโกง vs. ความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค – กรรมเดียวกัน
การที่จำเลยนำเช็คมาแลกเงินสดกับโจทก์โดยจำเลยกล่าวหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จฯ นั้น ความผิดฐานฉ้อโกงกับความผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คจนศาลประทับฟ้องแล้วโจทก์จะมาฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงอีกไม่ได้ เป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173วรรคสอง (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองกัญชาสดและแห้งพร้อมกันถือเป็นกรรมเดียวกัน ไม่เป็นความผิดหลายกระทง
มาตรา 7 พระราชบัญญัติกัญชา หาได้บัญญัติถึงความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย แยกออกจากการมีกัญชาด้วยไม่
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า วันเวลาที่จำเลยมีกัญชาแห้งไว้ในความครอบครองก็อยู่ในวันเวลาสุดท้ายที่หาว่าจำเลยมีกัญชาสดไว้ในความครอบครองนั่นเอง จึงเป็นการครอบครองกัญชาทั้งสองชนิดพร้อมกันตลอดมาการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวกัน บุกรุกทำลายทรัพย์สิน โทษหนักสุดตามมาตรา 90
จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายแล้วทำลายบานประตูและกระจกหน้าต่างผู้เสียหายในทันทีทันใดนั้น ย่อมถือว่าเป็นกรรมเดียวกัน จึงต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 925/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวกัน บุกรุกทำลายทรัพย์สิน โทษหนักสุดตาม ม.90
จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายแล้วทำลายบานประตูและกระจกหน้าต่างผู้เสียหายในทันทีทันใดนั้น ย่อมถือว่าเป็นกรรมเดียวกันจึงต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2837/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวกันลงโทษซ้ำ: สิทธิฟ้องระงับเมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่า ส. โดยเจตนาคดีอยู่ในระหว่างนัดไต่สวนมูลฟ้อง วันรุ่งขึ้นพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่าทำปืนลั่นโดยประมาทเป็นเหตุให้ส. ถึงแก่ความตาย จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยคดีถึงที่สุดแล้ว การกระทำผิดของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องกับที่พนักงานอัยการฟ้องนั้น แม้จะต่างข้อหากัน ก็เป็นการกระทำผิดกรรมเดียวกัน ศาลฟังข้อเท็จจริงแล้วว่าเป็นการกระทำโดยประมาท จะรื้อฟื้นให้ศาลพิจารณาพิพากษาความผิดกรรมเดียวกันนั้นอีกเป็นการทำผิดครั้งเดียวลงโทษ 2 ครั้งหาได้ไม่ เมื่อศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้องนั้นแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าโจทก์ฟ้องคดีก่อนหรือหลังพนักงานอัยการ(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1037/2501)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 516/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในกรรมเดียวกัน ศาลชอบที่จะยกฟ้องเมื่อมีคำพิพากษาลงโทษแล้ว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยดำรงชีพอยู่ด้วยรายได้ของหญิงในการค้าประเวณีสำนวนหนึ่งและในวันเดียวกันโจทก์ยังฟ้องจำเลยเกี่ยวกับการกระทำผิดอันเดียวกันเป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าจำเลยเป็นผู้จัดการสถานการค้าประเวณีโดยมิได้ขอให้พิจารณา คดีรวมกันเห็นได้ว่าเป็นการฟ้องขอให้ลงโทษในกรรมเดียวซ้ำกัน 2 ครั้งข้อหาในอีกสำนวนหนึ่งนั้นย่อมหมายความว่าจำเลยมีรายได้จากสินจ้างซึ่งได้รับจากลูกค้าของสถานการค้าประเวณี แล้วจำเลยแบ่งรายได้นั้นให้แก่หญิงที่ค้าประเวณีแต่ข้อหาในสำนวนนี้ว่าจำเลยดำรงชีพอยู่จากรายได้ของหญิงที่ค้าประเวณีในสถานที่แห่งเดียวกัน เมื่อในคดีอีกสำนวนหนึ่งนั้นจำเลยรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้อง และศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยแล้วจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้องคดีสำนวนนี้เสีย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล้นทรัพย์ต่อเนื่องและการฆ่าเพื่อปกปิดความผิดฐานปล้นทรัพย์ ถือเป็นกรรมเดียวกัน
คนร้าย 5-6 คน ใช้ปืนขู่คนขับรถไม่ให้สู้ เอาผ้ามัดมือไพล่หลังทั้งสองคน แล้วพาขึ้นไปนั่งที่กะบะท้ายรถ คนร้ายเอาปืนจี้คุมไว้ และขับรถแล่นออกจากหมู่บ้าน ค. ไปถึงถนนเป็นระยะทาง 5 กิโลเมตร แล้วขับไปตามถนนนั้นและทางอีกสายหนึ่งเป็นระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตรหรือประมาณ 20 นาที แล้วจึงหยุดรถและถอยรถเข้า ไปในป่าข้างทาง ต่อจากนั้นก็พาคนขับรถลงเดินไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จึงยิงและเชือดคนขับรถคันหนึ่งถึงแก่ความตาย แล้วคนร้ายก็เอารถไป แม้การปล้นนี้จะได้เริ่มขึ้นที่หมู่บ้าน ค. แต่การที่คนร้ายพาคนขับรถทั้งสองไปนั่งที่กะบะท้ายรถทั้งๆ ที่ยังถูกมัด และคนร้ายใช้ปืนจี้คุมตัวให้นั่งไปในรถเช่นนั้น เป็นการขู่เข็ญว่าจะกระทำร้ายเพื่อความปลอดภัยของคนร้ายในการปล้นทรัพย์อยู่ตลอดเวลาที่คนขับรถนั่งไปกับคนร้าย จึงมีการกระทำในการปล้นทรัพย์อยู่เรื่อย เมื่อคนร้ายหยุดรถพาคนขับรถเดินเข้าป่าไปฆ่าในทันทีนั้นก็เพื่อจะปกปิดการกระทำความผิดฐานปล้นทรัพย์ การฆ่าจึงเป็นส่วนหนึ่งของการปล้นทรัพย์จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 999/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำในคดีอาญาที่ศาลได้พิพากษาถึงที่สุดแล้ว ถือเป็นการระงับสิทธิฟ้องร้อง
โจทก์ฟ้องคดีก่อนที่พนักงานอัยการจะเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยและโจทก์ที่ 2 ในความผิดอันเกิดจากกรรมเดียวกัน. ศาลสั่งให้รอคดีโจทก์ไว้จนกว่าคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์จะถึงที่สุด. เมื่อศาลได้พิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่พนักงานอัยการได้ฟ้องคู่กรณีในเรื่องนี้ทั้งสองฝ่ายนั้นไปแล้ว. โดยพิพากษายกฟ้องว่าทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีความผิด. โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีนั้นด้วยจะกลับมารื้อร้องฟ้องให้ศาลทำการพิจารณาพิพากษาคดีซึ่งเกิดจากกรรมอันเดียวกันนั้นอีก. โดยให้ศาลพิพากษาเสียใหม่ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดไม่ได้. เพราะตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 บัญญัติว่า สิทธินำคดีมาฟ้องย่อมระงับไป '(4) เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง' นั้น. ย่อมมีความมุ่งหมายว่า คดีอาญาที่มีผู้นำมาฟ้องร้องต่อศาลนั้นให้ทำได้แต่เพียงครั้งเดียวหรือคราวเดียว. ห้ามการฟ้องซ้ำให้เป็นที่ยุ่งยากแก่การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล.
of 6