คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กระทำชำเรา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 213 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 750/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจารไม่พอฟัง แม้มีการกระทำชำเรา ศาลไม่อาจลงโทษฐานพรากผู้เยาว์ได้
การที่จำเลยมาพบผู้เสียหายเนื่องจากผู้เสียหายนัดให้จำเลยมาพบเพื่อให้จำเลยนำเสื้อมาให้ จำเลยพาผู้เสียหายไปที่ห้องเช่าของจำเลยก็เพื่อธุระของผู้เสียหายเอง หลังจากได้เสื้อแล้วที่จำเลยให้ผู้เสียหายรออยู่ที่ห้องก็สืบเนื่องมาจากผู้เสียหายไปโรงเรียนไม่ทันซึ่งผู้เสียหายก็เต็มใจที่จะรออยู่ที่ห้องจำเลยเพื่อไปโรงเรียนเวลาเที่ยงตอนจำเลยไปเอาหนังสือการ์ตูนที่บ้านเพื่อนจำเลย ผู้เสียหายเป็นฝ่ายขอตามจำเลยไปด้วย จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายชักชวนให้ผู้เสียหายไปกับจำเลยการที่จำเลยพาผู้เสียหายกลับมาที่ห้องจำเลยอีกก็เพื่อให้ผู้เสียหายไปโรงเรียนตอนเที่ยงตามที่ผู้เสียหายบอกตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดามารดาโดยปราศจากเหตุอันสมควร แม้ต่อมาจำเลยจะกระทำชำเราผู้เสียหายและจำเลยจะให้การรับสารภาพ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 วรรคหนึ่ง
ความผิดฐานกระทำชำเรา ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลย 5 ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นลงโทษจำคุก 2 ปี เป็นการแก้ไขเฉพาะ โทษมิได้แก้บทกฎหมายด้วย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อย โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษหนักขึ้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานพรากเด็กเพื่ออนาจารและกระทำชำเรา ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
ผู้เสียหายเบิกความบรรยายพฤติกรรมของจำเลยตั้งแต่ต้นก่อนและขณะกระทำชำเรา เป็นขั้นเป็นตอนตามลำดับว่ามีการใช้กำลังกายอย่างไร พูดจาบังคับขู่เข็ญอย่างไร และกระทำการกระทำชำเราเป็นเหตุเป็นผลไม่ขัดต่อหลักความจริงของธรรมชาติ หากมิได้มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นแล้ว ผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กก็จะไม่สามารถเบิกความในลักษณะเช่นนั้นได้ จึงยากที่ผู้เสียหายจะปั้นแต่งขึ้นมาเองประกอบกับผู้เสียหายยังเป็นนักเรียนถูกล่วงละเมิดทางเพศ จึงเป็นสิ่งน่าอับอายที่จะนำมาเปิดเผยให้ผู้อื่นล่วงรู้ ผู้เสียหายย่อมไม่มีจริตเสแสร้งเอาความอันเป็นเท็จพูดบอกแก่ผู้อื่นให้เสื่อมเสียแก่ตัวเองและครอบครัว และเมื่อจำเลยพาผู้เสียหายมาถึงบ้าน ผู้เสียหายก็วิ่งเข้ากอด อ. ทันทีแล้วร้องไห้และบอกเรื่องที่ถูกจำเลยกระทำชำเราต่อ ท. และชาวบ้านอีกหลายคน เมื่อจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยรับว่าเป็นผู้กระทำผิด แม้การตรวจร่างกายผู้เสียหายในวันนั้นจะไม่พบน้ำอสุจิในช่องคลอดก็มิได้หมายความว่าผู้เสียหายไม่ถูกกระทำชำเรา เพราะผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยเอาอวัยวะเพศสอดใส่เข้าไปในอวัยวะเพศของผู้เสียหายแล้วความผิดจึงสำเร็จ ซึ่งการที่ไม่พบน้ำอสุจินี้ย่อมสันนิษฐานว่าจำเลยได้หลั่งน้ำอสุจินอกช่องคลอด แต่ผลจากการตรวจยังพบว่าเยื่อพรหมจารีผู้เสียหายฉีกขาดมีเลือดซึมผนังช่องคลอด ปากมดลูกบวมแดง แสดงว่าผู้เสียหายผ่านการร่วมประเวณีมา จึงเป็นข้อสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายว่ามีการล่วงล้ำอวัยวะเพศของผู้เสียหายจริง
บิดามารดาผู้เสียหายนำผู้เสียหายไปฝากให้ อ. ป้าของผู้เสียหายช่วยดูแลแทนเนื่องจากต้องไปรับจ้างทำงานที่กรุงเทพมหานคร วันเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายจากบ้าน ส. เพื่อไปส่งที่บ้าน อ. แต่จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราที่ป่าข้างทาง โดยที่ผู้เสียหายมิได้รักใคร่และยินยอมร่วมประเวณีด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจารโดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยจะมีภริยาและบุตรหรือไม่
จำเลยมีความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายจากบ้าน ส. ไปเพื่อการอนาจารเป็นการกระทำความผิดสำเร็จในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจารสำเร็จไปตอนหนึ่งแล้วเมื่อจำเลยพาผู้เสียหายไปถึงที่เกิดเหตุแล้วลงมือกระทำชำเรา จึงเป็นการกระทำกรรมใหม่อันเป็นความผิดขึ้นอีก แยกต่างหากจากการพรากเด็ก จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4563/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการข่มขืนกระทำชำเรา: ศาลฎีกาพิพากษาความผิดฐานฆ่าจากการกระทำต่อเนื่อง
การที่จำเลยที่ 1 ถอดกางเกงเดินเข้าไปเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายในขณะที่ผู้ตายไม่ได้สวมกางเกงและยืนพิงลูกกรงระเบียงซึ่งสูงเพียงก้น โดยผู้ตายมิได้ยินยอมที่จะให้จำเลยที่ 1 กระทำชำเรานั้น จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นได้ว่าหากผู้ตายหลบหลีกขัดขืนมิให้จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราแล้วอาจจะตกลงไปจากระเบียงอาคารโรงเรียนถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้ตายดิ้นรนขัดขืนเพื่อมิให้จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราจนผู้ตายพลัดตกลงไปจากระเบียงอาคารโรงเรียนจนได้รับบาดเจ็บและตายในเวลาต่อมา จึงเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการกระทำของจำเลยที่ 1 อันเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย กระทำอนาจาร พยายามข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้อื่น
จำเลยทั้งสามขึ้นไปบนอาคารโรงเรียนพร้อมกัน ขณะที่จำเลยที่ 1 เดินเข้าไปเพื่อจะข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยืนอยู่ข้างหน้าพยานโจทก์ซึ่งยืนอยู่ห่างผู้ตายประมาณ 1 วา พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมหรือสนับสนุนจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3424/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิงโดยไม่ยินยอม และอำนาจศาลเยาวชนและครอบครัว
เมื่อพฤติการณ์ตามที่โจทก์นำสืบมายังไม่พอฟังว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมผู้เสียหาย และโดยผู้เสียหายนั้นไม่ยินยอมแต่การที่จำเลยทั้งสามได้กระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี และไม่ใช่ภริยาของตน ไม่ว่าผู้เสียหายจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ย่อมเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคหนึ่ง เหตุดังกล่าวเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาขึ้นมาด้วยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดบุรีรัมย์) ได้มีการเปิดทำการแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในเขตท้องที่ดังกล่าวแล้วขณะกระทำผิดจำเลยที่ 1 อายุ 14 ปีเศษ จำเลยที่ 2 อายุ 17 ปีเศษ คดีในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2จึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว แต่โจทก์ได้ยื่นฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นเยาวชนร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 3ซึ่งไม่ใช่เด็กหรือเยาวชนต่อศาลชั้นต้นและระหว่างการพิจารณาได้มีการเปิดแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะโอนคดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพิจารณาพิพากษาในศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวได้ การที่ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินการดังกล่าวแสดงว่าศาลชั้นต้นได้พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่สมควรโอนคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปพิจารณาพิพากษาในศาลชั้นต้นแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีของจำเลยทั้งสามไปพร้อมกัน จึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และไม่อาจโอนคดีของจำเลยที่ 1 ไปพิจารณาพิพากษาในศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวได้เพราะศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของจำเลยที่ 1เนื่องจากมิได้ฎีกาจากศาลอุทธรณ์ แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 125 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 แต่หากศาลฎีกาเห็นสมควร ศาลฎีกามีอำนาจที่จะนำวิธีการสำหรับเด็กและเยาวชนมาใช้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ ทั้งนี้โดยอาศัยมาตรา 136ประกอบมาตรา 59 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว มาใช้บังคับโดยอนุโลม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9003/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, และกระทำชำเรา: การแยกพิจารณาความผิด
เด็กหญิง ว.ผู้เสียหายขณะเกิดเหตุมีอายุ 14 ปีเศษ ออกจากบ้านของบิดามารดาตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2538 จนถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2538 โดยจำเลยได้พรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร ทำให้ปราศจากเสรีภาพ และกระทำชำเราโดยผู้เสียหายมิได้สมัครใจไปกับจำเลย การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปที่บ้านญาติจำเลยที่ตำบลทับปริก อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ แล้วกระทำชำเราผู้เสียหายหลังจากนั้นจำเลยได้ปิดประตูขังผู้เสียหายไว้ในห้อง รุ่งขึ้นจำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปบ้านญาติจำเลยที่บ้านควนพล ตำบลไทรทอง อำเภอชัยบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วนำผู้เสียหายเข้าไปขังไว้ในห้องตลอดมา ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม2538 ถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2538 แม้การที่จำเลยนำผู้เสียหายไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ที่บ้านญาติของจำเลยหลายแห่งเป็นเวลานานนับ 10 วัน จะเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากความประสงค์เดียวกับการกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยนำผู้เสียหายไปหน่วงเหนี่ยวกักขังโดยปิดประตูขังไว้ในห้องตลอดมา ถือได้ว่าเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่งต่างหากจากความผิดฐานกระทำชำเราซึ่งเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว หาใช่เป็นกรรมเดียวกันไม่ จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ.มาตรา 227วรรคหนึ่ง, 310 วรรคหนึ่ง และ 317 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9003/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร, กระทำชำเรา, และหน่วงเหนี่ยวกักขัง: ความผิดแยกกระทง
เด็กหญิง ว. ผู้เสียหายขณะเกิดเหตุมีอายุ 14 ปีเศษ ออกจากบ้านของบิดามารดาตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2538 จนถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2538โดยจำเลยได้พรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร ทำให้ปราศจากเสรีภาพและกระทำชำเราโดยผู้เสียหายมิได้สมัครใจไปกับจำเลย การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปที่บ้านญาติจำเลยที่ตำบลทับปริกอำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ แล้วกระทำชำเราผู้เสียหาย หลังจากนั้นจำเลยได้ปิดประตูขังผู้เสียหายไว้ในห้อง รุ่งขึ้นจำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปบ้านญาติจำเลยที่บ้านควนพล ตำบลไทรทองอำเภอชัยบุรี จังหวัดสุราษฎร์ธานี แล้วนำผู้เสียหายเข้าไปขังไว้ในห้องตลอดมา ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2538 ถึงวันที่ 26 สิงหาคม 2538แม้การที่จำเลยนำผู้เสียหายไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ที่บ้านญาติของจำเลยหลายแห่งเป็นเวลานานนับ 10 วัน จะเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องมาจากความประสงค์เดียวกับการกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยนำผู้เสียหายไปหน่วงเหนี่ยวกักขังโดยปิดประตูขังไว้ในห้องตลอดมา ถือได้ว่าเป็นความผิดอีกกระทงหนึ่งต่างหากจากความผิดฐานกระทำชำเราซึ่งเสร็จเด็ดขาดไปแล้วหาใช่เป็นกรรมเดียวกันไม่ จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 227 วรรคหนึ่ง,310 วรรคหนึ่ง และ 317 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7953/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สำคัญผิดในอายุผู้เสียหาย และความผิดฐานพรากเด็ก-กระทำชำเรา เป็นกรรมต่างกัน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก และมาตรา 317 ผู้กระทำผิดจะต้องกระทำแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี เรื่องอายุของผู้เสียหายเป็นองค์ประกอบของความผิดด้วย จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ผู้กระทำผิดได้รู้หรือไม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 62 วรรคแรก ซึ่งข้อเท็จจริงใดถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิดดังนี้ถ้าจำเลยสำคัญผิดในเรื่องอายุของผู้เสียหาย แม้ความจริงไม่ใช่อย่างที่จำเลยสำคัญผิด จำเลยย่อมไม่มีความผิด
ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ชอบ แต่เพื่อไม่ให้คดีล่าช้าศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาก่อน
ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 เมื่อจำเลยมีเจตนาและได้พรากผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กไปเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่า ความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาไปเพื่อการอนาจารสำเร็จนับแต่จำเลยเริ่มพรากผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาดังกล่าวแล้ว แม้จำเลยจะยังไม่ได้กระทำการกระทำชำเราผู้เสียหายก็ตาม ส่วนการที่จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายหลังจากนั้นก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 อีกกรรมหนึ่ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเป็น 2 กระทง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6792/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันในความผิดฐานกระทำอนาจารและกระทำชำเราเด็กหญิง
จำเลยกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายรวม 4 ครั้ง และกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 2 ครั้ง หลังจากกระทำความผิดในแต่ละครั้งแล้ว จำเลยมิได้ควบคุมหรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อกระทำอนาจารหรือกระทำชำเรา ผู้เสียหายในครั้งต่อไปอีก ผู้เสียหายกลับไปที่บ้านและมาโรงเรียนตามปกติ ผู้เสียหายจึงพ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งไปแล้ว แม้ว่าในแต่ละครั้งจำเลยจะกระทำไปโดยมีเจตนากระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายหรือกระทำชำเราผู้เสียหายเหมือนกันก็ตาม การกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งจึงเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายโดยมีเจตนาต่างกัน และมิได้เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน หากแต่การกระทำในแต่ละครั้งเป็นการกระทำที่จำเลยเกิดมีเจตนาขึ้นใหม่ในทุกครั้งที่ลงมือกระทำ มิใช่เจตนาเดิม จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
ในความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้แต่เพียงว่า การกระทำของจำเลยในข้อหาดังกล่าวหาใช่เป็นความผิดกรรมเดียวไม่ ให้ลงโทษในความผิด 4 กรรม เรียงกระทงลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 91 เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกิน 5 ปี จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 564/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กหญิง และพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีเพื่อการอนาจาร
จำเลยรู้จักผู้เสียหายมาก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือนและได้พบพูดคุยกันทุกวันแสดงว่าจำเลยย่อมมีความสนิทสนมกับผู้เสียหายเป็นพิเศษ ดังนั้น เมื่อพี่ชายผู้เสียหาย มาพบเห็นเข้า ผู้เสียหายกลัวบิดาและยาย จะตี จำเลยจึง ถือโอกาสนั้นพาผู้เสียหายหลบหนีโดยปราศจากเหตุอันสมควรและหลังจากพาผู้เสียหายหลบหนีแล้ว จำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหายด้วย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปเสียจากบิดาเพื่อการอนาจาร จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6321/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจารและการกระทำชำเรา ถือเป็นความผิด 2 กรรม
การที่จำเลยได้พาหรือชักจูงผู้เสียหาย(อายุ 12 ปีเศษ)ไปจากบริเวณถนนหน้าบ้านอาของผู้เสียหายที่ผู้เสียหายพักอาศัยอยู่ ไปยังบ้านเพื่อนของจำเลยและได้กระทำชำเราผู้เสียหาย ย่อมเป็นการไม่ถูกต้องด้วยทำนองคลองธรรม แล้วจำเลยพาผู้เสียหายกลับมาส่งที่บ้านพัก กรณีถือได้ว่าจำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควรได้พรากผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารตอนหนึ่งแล้ว ครั้นจำเลยกระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปีไม่ว่าผู้เสียหายยินยอมหรือไม่ก็ตาม การกระทำของจำเลยในตอนหลังก็เป็นความผิดสำเร็จในอีกขั้นตอนหนึ่ง อันถือเป็นคนละขั้นตอนหรือเป็นคนละกรรมกับการกระทำความผิดในขั้นตอนแรก การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรม
การที่จำเลยกอดปล้ำถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายก็เพื่อการกระทำชำเราผู้เสียหาย และในเวลาเดียวกันจำเลยก็ได้กระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่รวม 8 ครั้ง หลังจากนั้นตอนที่จำเลยพาผู้เสียหายมาไว้ที่หอพักจนกระทั่งจำเลยพาผู้เสียหายไปส่งที่บ้านพักก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำอนาจารหรือกอดจูบลูบคลำผู้เสียหายใด ๆ อีก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ตาม ป.อ.มาตรา 279 วรรคแรก ข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ฎีกาศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
of 22