พบผลลัพธ์ทั้งหมด 128 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 420/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยผู้อื่นกระทำเอง จำเลยไม่มีส่วนร่วม
จำเลยขับรถจักรยานยนต์โดยมี บ. และ ว. นั่งซ้อนท้ายผ่านบริเวณที่ผู้ตายกับพวกนั่งอยู่ พวกผู้ตายตะโกนให้ของลับพวกจำเลย จำเลยจึงขับรถย้อนกลับมาจอดใกล้บริเวณที่ผู้ตายกับพวกนั่งอยู่บ. ลงจากรถแล้วตรงเข้าใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตายในลักษณะฉับพลันทันที แล้ว บ. กับ ว. วิ่งหนีไปคนละทางซึ่งในขณะนั้นจำเลยยังนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์อยู่และดับเครื่องยนต์ไว้ ไม่ปรากฏว่าฝ่ายจำเลยกับฝ่ายผู้ตายเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน การที่ บ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นการตัดสินใจของบ. เอง ในขณะเกิดเหตุ เนื่องจากไม่พอใจที่ถูกฝ่ายผู้ตายให้ของลับพฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมกับ บ. ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5426/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถยนต์ของกลางในความผิดฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวเข้าเมือง: รถยนต์ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง
จำเลยกระทำความผิดฐานช่วยคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง มาตรา 64 วรรคแรก เพื่อให้พ้นการจับกุมโดยใช้รถยนต์ของกลางเป็นพาหนะให้คนต่างด้าวนั่งมาในรถยนต์ของกลางด้วยนั้น ถือไม่ได้ว่ารถยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าวโดยตรง จึงเป็นทรัพย์สินที่ไม่ควรริบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4186/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบรถจักรยานยนต์ที่ใช้หลบหนีหลังก่ออาชญากรรม ศาลฎีกาตัดสินว่าไม่เข้าข่ายการริบหากไม่ได้ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง
จำเลยขับรถจักรยานยนต์ของกลางไปจอดรอพวกของจำเลย และเมื่อพวกของจำเลยชิงทรัพย์ของผู้เสียหายเสร็จ ก็กลับมานั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยแล้วจำเลยขับหลบหนีไป พฤติการณ์ของจำเลยกับพวก เป็นเพียงการใช้รถจักรยานยนต์ของกลางไปและกลับจากการกระทำความผิด เพื่อให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้นไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์ของกลางในการกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) จึงริบรถจักรยานยนต์ของกลางไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 360/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการกระทำความผิดชิงทรัพย์ ข่มขืนใจ และการยอมความที่ไม่สมบูรณ์
จำเลยกระทำผิดไปด้วยอารมณ์โกรธแค้นที่เกิดขึ้นในทันทีทันใดโดยมิได้มุ่งประสงค์ต่อผลในการแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวโดยแท้จริง จึงเป็นการกระทำที่ขาดเจตนาในการที่จะมุ่งกระทำการลักเข็มขัดของผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ แต่การที่จำเลยขู่เข็ญผู้เสียหายให้ส่งเข็มขัดให้ย่อมเป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายให้กระทำตามที่จำเลยประสงค์ โดยทำให้กลัวว่าจะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก ผู้เสียหายเบิกความและยื่นคำร้องฝ่ายเดียวต่อศาลว่าการกระทำของจำเลยไม่มีเจตนาที่จะทำการชิงทรัพย์เพราะเป็นการเข้าใจผิด รู้เท่าไม่ถึงการณ์และจำเลยเป็นนักศึกษา ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความใด ๆ กับจำเลย ถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความแต่พอถือได้ว่าเป็นคำแถลงที่ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยและขอให้ศาลปราณีเพื่อประกอบการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2892/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร: การตรวจค้น, การรับของกลางหลายครั้ง, และการบันทึกการจับกุม/ตรวจค้น
ร.ต.อ.อุทัยได้ทำการตรวจค้นบริเวณด้านหลังอู่ที่พบชิ้นส่วนเครื่องรับวิทยุของกลางภายหลังวันที่จำเลยที่ 1 ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นสอบสวนแล้ว จึงมิใช่กรณีของการค้นที่อยู่ของผู้ต้องหาซึ่งถูกควบคุมหรือขังอยู่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 102 วรรคสอง แต่เป็นการค้นตามมาตรา 102 วรรคแรก และ ร.ต.อ.อุทัยก็ได้แสดงหมายค้นและค้นต่อหน้าผู้ครอบครองดูแลอู่ในขณะนั้นและได้ทำบันทึกการตรวจค้นโดยมีรายละเอียดสิ่งของที่ค้นพบรวมถึงกล่องวิทยุที่ถูกเผาให้ผู้ครอบครองดูแลอู่ลงชื่อไว้แล้ว การตรวจค้นของ ร.ต.อ.อุทัยจึงชอบด้วยมาตรา 102 จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 รับเอาทรัพย์ของกลางทั้งหมดไว้ในครอบครอง และจากพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1กับพวกได้ร่วมกันแยกเอาชิ้นส่วนออกและพ่นสีรถใหม่ รวมทั้งทำลายหลักฐานบางส่วนโดยการเผา แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 กับพวกทราบดีแล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานรับของโจร ความผิดฐานรับของโจรนั้น อาจเกิดขึ้นหลายครั้งในวันเดียวกันได้ หากจำเลยรับทรัพย์ของกลางไว้หลายคราวและต่างเวลากัน และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ยอมรับว่าจำเลยที่ 1ได้รับเอาทรัพย์ของกลางตามที่โจทก์ฟ้องทุกคดีในคราวเดียวกันอันจะเป็นความผิดกรรมเดียวแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนหรือฟ้องซ้ำกับคดีอื่นที่โจทก์ได้ฟ้องจำเลยแล้ว กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องทำบันทึกการจับกุมในสถานที่ที่จับกุมหรือตรวจค้น อีกทั้งได้ความว่าจำเลยที่ 1 กับพวกถูกจับกุมในสถานที่ต่างกันในเวลาไล่เลี่ยกัน การทำบันทึกการจับกุมที่สถานีตำรวจจึงเป็นวิธีที่เหมาะสมแล้ว และเนื่องจากเป็นการบันทึกการจับกุม มิใช่บันทึกการตรวจค้น จึงไม่จำต้องบันทึกของกลางที่ตรวจพบไว้โดยละเอียด เพียงแต่บันทึกของกลางที่ตรวจพบหรือทำบัญชีของกลางไว้ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ไม่เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 103 พนักงานสอบสวนได้นำภาพถ่ายวัตถุของกลางให้จำเลยที่ 1ดูแล้ว ทั้งจำเลยที่ 1 มิได้ร้องขอดูวัตถุของกลางโดยตรงจึงนับว่าเพียงพอและไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 242แต่อย่างใด และเนื่องจากวัตถุของกลางเป็นรถยนต์และชิ้นส่วนของรถยนต์ ย่อมไม่สะดวกที่จะบรรจุหีบห่อและตีตราไว้ แต่การที่เจ้าพนักงานตำรวจได้บันทึกภาพวัตถุของกลางดังกล่าวไว้นั้นถือได้ว่าได้ทำเครื่องหมายไว้เป็นสำคัญแก่วัตถุของกลางนั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 101 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2767/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันเกินสมควรแก่เหตุและการริบอาวุธปืนที่ใช้ในการกระทำความผิด
จำเลยถูก ว.ทำร้ายก่อนด้วยการกระชากคอเสื้อทุบหรือชกต่อยท้ายทอยและจับศีรษะโขกกับกระดานหมากรุกจนหน้าผากของจำเลยมีโลหิตไหลโดยมีจำเลยไม่ทันระวังตัวถึงกับจำเลยต้องวิ่งหนีเข้าไปในร้านตัดผมข้างที่เกิดเหตุแต่หนีไม่พ้น เพราะด้านหลังของร้านตัดผมไม่มีทางหนีจึงย้อนกลับออกมาทางหน้าร้านพบกับ ว.ตรงประตูทางเข้าร้าน ตัดผม ในขณะที่ ว.ใช้มีดล้วงกระเป๋ากางเกงด้านหลังไล่ตามจำเลยเข้าไป จำเลยเข้าใจว่า ว.จะล้วงเอาอาวุธปืนพกซึ่งปกติ ว.จะพกอยู่เป็นประจำออกมายิงจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนพกของจำเลยยิง ว.ไปหลายนัด เพราะความกลัวเป็นเหตุให้กระสุนปืนของจำเลยถูก ว.ถึงแก่ความตายและพลาดไปถูก ภ.ถึงแก่ความตายแต่จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงว. หลายนัด แสดงว่าจำเลยเจตนายิง ว.ให้ตายโดยไม่ยั้งมือ คือแทนที่จำเลยจะหยุดยิงเมื่อเห็นว่า ว. โดยกระสุนปืนที่จำเลยยิงล้มลงแล้วจำเลยกลับยิงต่อไปอีกหลายนัด ทำให้กระสุนปืนเหล่านั้น นอกจากจะถูก ว.หลายนัดจนถึงแก่ความตายแล้วยังพลาดไปถูก ภ.ซึ่งยืนดูการเล่นหมากรุก อยู่ถึงแก่ความตายด้วย ถือว่าเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น หรือเกินกว่า กรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน จำเลยจึงมีความผิด ฐานฆ่าผู้ตายทั้งสองโดยเจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนที่ทางราชการอนุญาตให้จำเลยมีและใช้ได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อจำเลยใช้อาวุธปืนนั้นยิงผู้ตายโดยเจตนาเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยย่อมมีความผิดอาวุธปืนของกลางจึงเป็นทรัพย์สินที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด ชอบที่ศาลจะสั่งริบเสียตามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1473/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การระบุช่วงเวลาการกระทำความผิดและการรับรู้ของผู้เสียหาย
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยได้รับเงินไปเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์2532 ต่อมาวันเวลาใดไม่ปรากฏชัดหลังจากที่จำเลยได้รับเงินไปแล้วจำเลยได้เบียดบังเอาเงินนั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตกล่าวคือจำเลยได้รับปากว่าจะคืนเงินที่เหลือให้แก่โจทก์ โจทก์ทวงถามหลายครั้ง แต่ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2532 โจทก์ทวงถามอีกครั้ง จำเลยปฏิเสธไม่ยอมคืนให้ โจทก์จึงทราบว่าจำเลยได้ยักยอกเงินของโจทก์ ถือว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงจุดเริ่มต้นแห่งการกระทำความผิดของจำเลยคือวันที่จำเลยรับเงินของโจทก์ไว้ และจุดที่โจทก์ทราบถึงการกระทำความผิดของจำเลยคือวันที่จำเลยปฏิเสธการคืนเงินให้โจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ได้บรรยายถึงรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ แล้ว ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 968/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม: เหตุบรรเทาโทษและการรอการลงโทษ
แม้ป่าไม้จะเป็นทรัพยากรธรรมชาติสำคัญที่ประชาชนควรจะร่วมกันบำรุงรักษาป้องกันไว้ และพื้นที่ป่าที่จำเลยกระทำความผิดจะมีเนื้อที่มากถึง 62 ไร่เศษก็ตาม แต่ตามหลักฐานต่าง ๆ ของจำเลยในสำนวนซึ่งโจทก์มิได้โต้แย้งปรากฏว่าพื้นที่ป่าที่จำเลยกระทำความผิดมีสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรม มีผู้อื่นได้รับสัมปทานทำเหมืองแร่มาก่อน บริเวณใกล้เคียงมีราษฎรเข้าไปจับจองทำกินอยู่เป็นจำนวนมาก หลังเกิดเหตุแล้วทางการก็ดำเนินการปักปัน แนวเขตเตรียมการจะให้เป็นที่ทำกินของราษฎร พฤติการณ์แห่งคดีการกระทำความผิดของจำเลยเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงนัก มีเหตุอันควรปรานีที่จะรอการลงโทษให้จำเลย ตามป.อ. มาตรา 56.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 627/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของฟ้องอาญา มาตรา 357: การระบุการกระทำความผิดหลายรูปแบบ
โจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่ายช่วยพาเอาไป รับซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด เป็นการกล่าวอ้างถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิด ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 ซึ่งการกระทำทุกอย่างหรืออย่างใดอย่างหนึ่งย่อมเป็นความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เมื่อโจทก์นำสืบฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทุกอย่าง การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามกฎหมายดังกล่าว ฟ้องของโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 592/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกาย: การพิจารณาเรื่องบันดาลโทสะและเจตนาในการกระทำความผิด
จำเลยฟันโจทก์ร่วมอ้างว่าบันดาลโทสะเพราะโจทก์ร่วมกล่าวหาว่าลักมะพร้าว และด่าว่าจำเลย แต่จำเลยมิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ร่วมด่าว่าอย่างไรอันจะเป็นถ้อยคำรุนแรงจนเป็นเหตุให้ถึงกับบันดาลโทสะและจำเลยอ้างว่าที่ใช้มีดฟันโจทก์ร่วมเพราะโจทก์ร่วมจะทำร้ายจำเลยมิใช่จำเลยฟันโจทก์ร่วมเพราะบันดาลโทสะ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เพราะบันดาลโทสะ.