พบผลลัพธ์ทั้งหมด 63 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 372/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนเช็คและการต่อสู้ของผู้สั่งจ่ายเมื่อการโอนมีเจตนาฉ้อฉล
จำเลยที่ 1 ออกเช็คระบุให้จ่ายเงินแก่จำเลยที่ 2 หรือผู้ถือ การโอนเช็คไปย่อมสมบูรณ์เพียงด้วยส่งมอบให้กันเมื่อจำเลยที่ 2 ส่งมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ย่อมเป็นผู้ทรง
จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ยักยอกเงินของบริษัทซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 1 จึงแจ้งความดำเนินคดีอาญาและแจ้งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็คจำเลยที่ 2 เอาเช็คพิพาทไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่าย จำเลยที่ 2 ได้ส่งมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้เอาเช็คนั้นมาฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดใช้เงินตามเช็ค เมื่อการโอนเช็คพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 และโจทก์ได้มีขึ้นด้วยการคบคิดกันเพื่อฉ้อฉลจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายย่อมต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันระหว่างตนกับจำเลยที่ 2 ผู้ทรงคนก่อนนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 และ989 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งจ่ายล่วงหน้าให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ยักยอกเงินของบริษัทซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 1 จึงแจ้งความดำเนินคดีอาญาและแจ้งให้ธนาคารระงับการจ่ายเงินตามเช็คจำเลยที่ 2 เอาเช็คพิพาทไปขึ้นเงิน ธนาคารปฏิเสธการจ่าย จำเลยที่ 2 ได้ส่งมอบเช็คพิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์จึงได้เอาเช็คนั้นมาฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดใช้เงินตามเช็ค เมื่อการโอนเช็คพิพาทระหว่างจำเลยที่ 2 และโจทก์ได้มีขึ้นด้วยการคบคิดกันเพื่อฉ้อฉลจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายย่อมต่อสู้โจทก์ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันระหว่างตนกับจำเลยที่ 2 ผู้ทรงคนก่อนนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 และ989 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 277/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาพฤติการณ์การต่อสู้และเจตนาของผู้กระทำ
จำเลยกับผู้ตายมีสาเหตุกันมาก่อน ในวันเกิดเหตุได้มีการท้าทายกันแล้วผู้ตายแสดงกิริยาจะเข้าทำร้ายจำเลย จำเลยชักปืนยิงถูกผู้ตาย 1 นัด ก่อนผู้ตายจะเข้าถึงตัว ครั้นเมื่อผู้ตายเข้าประชิดตัวจำเลยและแทงจำเลยได้จำเลยก็ยิงผู้ตายอีก 3 นัด เมื่อเหตุเกิดจากการสมัครใจต่อสู้กัน จำเลยจะอ้างว่าป้องกันตัวหาได้ไม่ พฤติการณ์ที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 908/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบธรรม: การกระทำเพื่อป้องกันภัยจากการประทุษร้ายด้วยอาวุธ
ผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุใช้ไม้ตะบองยาวประมาณ 1 แขนตีจำเลยถูกคิ้วซ้าย จนจำเลยเซไปติดฝา แล้วผู้ตายตามไปจะตีจำเลยอีก จำเลยจึงต่อยผู้ตาย ผู้ตายจะตีอีก จำเลยจึงเตะผู้ตาย ผู้ตายเซถลาตกเรือนไป และถึงแก่ความตาย เช่นนี้ จำเลยหามีเจตนาฆ่าผู้ตายไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 551/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บันดาลโทสะจากการพบเห็นภรรยาทำชู้และการต่อสู้ของผู้ตาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
จำเลยมาพบเห็นภรรยากำลังทำชู้ในห้องครัวชู้หลบหนีไปจำเลยด่าว่าภรรยาและตบตี ภรรยาต่อสู้จำเลยจึงใช้ไม้ฟืนตีภรรยาจนถึงแก่ความตายพฤติการณ์เช่นนี้เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนภายใต้สถานการณ์ภัยอันตรายยังไม่หมดไป แม้แย่งอาวุธได้แล้ว ศาลฎีกาต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟัง
ผู้ตายเดินเข้ามาหาจำเลย จำเลยถามว่ามองทำไม ผู้ตายชกหน้าจำเลย 1 ที จำเลยทรุดนั่ง ผู้ตายชักมีดเงื้อแทงจำเลยอีก จำเลยแย่งมีดได้ก็เอามีดนั้นแทงผู้ตาย 1 ที ดังนี้ แม้จำเลยจะแย่งมีดได้ ก็หาได้หมายความว่าอันตรายหมดไปไม่ ถือว่าจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่การต่อสู้ยังมีอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่การต่อสู้ยังมีอยู่ ซึ่งศาลฎีกาต้องถือตาม โจทก์ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้
คดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่การต่อสู้ยังมีอยู่ ซึ่งศาลฎีกาต้องถือตาม โจทก์ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย: แม้แย่งมีดได้ ภยันตรายยังไม่หมดไป
ผู้ตายเดินเข้ามาหาจำเลย จำเลยถามว่ามองทำไมผู้ตายชกหน้าจำเลย 1 ทีจำเลยทรุดนั่ง ผู้ตายชักมีดเงื้อแทงจำเลยอีก จำเลยแย่งมีดได้ก็เอามีดนั้นแทงผู้ตาย 1 ที ดังนี้ แม้จำเลยจะแย่งมีดได้ ก็หาได้หมายความว่าอันตรายหมดไปไม่ ถือว่าจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่การต่อสู้ยังมีอยู่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่การต่อสู้ยังมีอยู่ ซึ่งศาลฎีกาต้องถือตาม โจทก์ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้
คดีที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่การต่อสู้ยังมีอยู่ ซึ่งศาลฎีกาต้องถือตาม โจทก์ฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้วิวาทและการป้องกันตัวที่ไม่สมควร การฆ่าโดยไม่เจตนา
จำเลยและผู้ตายต่างสมัครใจต่อสู้วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จำเลยจะอ้างว่าถูกผู้ตายเตะและต่อยกับบีบคออย่างแรง จำเลยจึงใช้มีดแทงเพื่อเป็นการป้องกันตัวนั้นหาได้ไม่
ขณะที่จำเลยและผู้ตายกอดปล้ำต่อสู้กันนั้นเป็นเวลามืดค่ำมองไม่เห็นกัน จำเลยดึงมีดพกซึงเหน็บที่เอว แทงไปข้างหน้า 2 ที แทงไปโดยไมรู้ว่าถูกตรงไหน จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจแทงในที่สำคัญแต่ผลไปปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงที่ใต้รักแร้ขวาและชายโครงซ้าย โลหิตตกในถึงแก่ความตาย เช่นนี้ เชื่อไว้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า เพียงแต่มุ่งทำร้าย แต่ทำร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290
ขณะที่จำเลยและผู้ตายกอดปล้ำต่อสู้กันนั้นเป็นเวลามืดค่ำมองไม่เห็นกัน จำเลยดึงมีดพกซึงเหน็บที่เอว แทงไปข้างหน้า 2 ที แทงไปโดยไมรู้ว่าถูกตรงไหน จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจแทงในที่สำคัญแต่ผลไปปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงที่ใต้รักแร้ขวาและชายโครงซ้าย โลหิตตกในถึงแก่ความตาย เช่นนี้ เชื่อไว้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า เพียงแต่มุ่งทำร้าย แต่ทำร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 290
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้วิวาทและการป้องกันตัวที่ไม่สมเหตุสมผล การแทงจนถึงแก่ความตายเข้าข่ายฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
จำเลยและผู้ตายต่างสมัครใจต่อสู้วิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน จำเลยจะอ้างว่าถูกผู้ตายเตะและต่อยกับบีบคออย่างแรง จำเลยจึงใช้มีดแทงเพื่อเป็นการป้องกันตัวนั้นหาได้ไม่
ขณะที่จำเลยและผู้ตายกอดปล้ำต่อสู้กันนั้นเป็นเวลามืดค่ำมองไม่เห็นกัน จำเลยดึงมีดพกซึ่งเหน็บที่เอวแทงไปข้างหน้า 2 ที แทงไปโดยไม่รู้ว่าถูกตรงไหน จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจแทงในที่สำคัญแต่ผลไปปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงที่ใต้รักแร้ขวาและชายโครงซ้าย โลหิตตกในถึงแก่ความตาย เช่นนี้ เชื่อได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าเพียงแต่มุ่งทำร้าย แต่ทำร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290
ขณะที่จำเลยและผู้ตายกอดปล้ำต่อสู้กันนั้นเป็นเวลามืดค่ำมองไม่เห็นกัน จำเลยดึงมีดพกซึ่งเหน็บที่เอวแทงไปข้างหน้า 2 ที แทงไปโดยไม่รู้ว่าถูกตรงไหน จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจแทงในที่สำคัญแต่ผลไปปรากฏว่าผู้ตายถูกแทงที่ใต้รักแร้ขวาและชายโครงซ้าย โลหิตตกในถึงแก่ความตาย เช่นนี้ เชื่อได้ว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าเพียงแต่มุ่งทำร้าย แต่ทำร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 862/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยในคดีอาญา มีสิทธิพิสูจน์ความบริสุทธิ์ แม้ไม่ให้การต่อสู้ หรือซักค้านพยานโจทก์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฆ่าคน แม้ว่าจำเลยจะให้การปฏิเสธลอยๆ และจำเลยไม่ได้ซักค้านพยานโจทก์ในเรื่องป้องกันตัว จำเลยก็นำสืบในเรื่องป้องกันตัวได้ เพราะกระบวนพิจารณาความในคดีอาญาต่างกับในคดีแพ่ง ในคดีอาญาจำเลยไม่ยอมให้การอย่างใดเลย ก็ไม่เป็นไรและไม่ว่าจำเลยจะให้การต่อสู้อย่างไรหรือไม่ให้การเลย ก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลยตามฟ้องก่อนเสมอไป และหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยมีอำนาจนำพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยได้ เมื่อเป็นดังนี้จำเลยในคดีอาญาจึงมีอำนาจนำพยานเข้าสืบเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของจำเลยได้ โดยไม่จำเป็นต้องให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้และไม่จำต้องซักค้านพยานโจทก์ในเรื่องที่จำเลยจะนำพยานเข้าสืบต่อไปไว้เลยก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้ทรงเช็ค – การต่อสู้ของผู้สั่งจ่าย – การพิสูจน์การโอนเช็ค
เมื่อโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คจำเลยจะอ้างว่าจำเลยออกเช็คให้บุคคลที่สามโดยถูกบุคคลที่สามหลอกลวง มาเป็นข้อต่อสู้กับโจทก์หาได้ไม่เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล ซึ่งตกเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องสืบ หาใช่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงจะต้องสืบว่าได้รับโอนเช็คมาอย่างไรไม่
ในเรื่องเช็ค จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าโจทก์ได้รับโอนมาโดยไม่สุจริต แต่ไม่ได้กล่าวว่าไม่สุจริตอย่างไร ย่อมไม่มีประเด็นที่จะสืบ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ที่ห้ามไม่ให้ยกขึ้นต่อสู้กับผู้ทรงนั้น ได้รวมตลอดถึงห้ามผู้สั่งจ่ายด้วย และ มาตรานี้ซึ่งบัญญัติถึงเรื่องตั๋วแลกเงิน ก็อนุโลมมาใช้ในเรื่องเช็คได้ เพราะไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสาร
ในเรื่องเช็ค จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าโจทก์ได้รับโอนมาโดยไม่สุจริต แต่ไม่ได้กล่าวว่าไม่สุจริตอย่างไร ย่อมไม่มีประเด็นที่จะสืบ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 916 ที่ห้ามไม่ให้ยกขึ้นต่อสู้กับผู้ทรงนั้น ได้รวมตลอดถึงห้ามผู้สั่งจ่ายด้วย และ มาตรานี้ซึ่งบัญญัติถึงเรื่องตั๋วแลกเงิน ก็อนุโลมมาใช้ในเรื่องเช็คได้ เพราะไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสาร