พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5012/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินความผิดกรรมเดียวในคดีขับรถประมาท และอำนาจการเป็นโจทก์ร่วม
เมื่อพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้อยู่แล้ว การที่โจทก์ร่วมที่ 1 จะเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้หรือไม่ ไม่มีผลทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลงไปเป็นประการอื่นได้ จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้อที่ว่าโจทก์ร่วมที่ 1 ไม่ใช่ผู้เสียหายเพราะมีส่วนประมาทด้วย การที่จำเลยขับรถจะเลี้ยวซ้าย แต่ไม่นำรถเข้าชิด ขอบทางเดินรถด้านซ้าย กลับเลี้ยวรถโดยตัดหน้ารถโจทก์ร่วมที่ 1 ในระยะกระชั้นชิดจนเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกัน ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสามได้รับอันตรายสาหัสและรถที่โจทก์ร่วมที่ 1 ขับไปรับความเสียหาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำในครั้งคราวเดียวที่ต่อเนื่องเกี่ยวพันกันอันเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียว หาใช่เป็นการกระทำผิดสำเร็จแต่ละตอนแยกจากกันเป็นความผิดต่างกรรมกันไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5012/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำผิดกรรมเดียวจากการขับรถประมาทเลี้ยวตัดหน้าทำให้เกิดอุบัติเหตุ ศาลแก้ไขโทษให้ลงโทษกรรมเดียว
จำเลยขับรถยนต์จะเลี้ยวซ้ายแต่ไม่นำรถเข้าชิดขอบทางเดินรถด้านซ้ายกลับเลี้ยวรถตัดหน้ารถที่โจทก์ร่วมขับในระยะกระชั้นชิดในลักษณะเป็นการกีดขวางการจราจร และเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกัน ทำให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสและรถที่โจทก์ร่วมขับได้รับความเสียหาย ถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดในครั้งคราวเดียวที่ต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน อันเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2146/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขับรถแซงแล้วเลี้ยวโดยประมาท ทำให้เกิดอุบัติเหตุ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ขับมีความผิด
จำเลยขับรถอยู่ช่องทางซ้ายได้ขับแซงรถของ ก. แล้วเลี้ยวขวามือจะเข้าซอยในขณะที่ถนนมีฝุ่นมาก ซึ่งก่อนจะเลี้ยวจำเลยไม่เห็นรถของ ก. ที่ตามมาข้างหลัง แต่จำเลยย่อมต้องทราบดีว่ามีรถขับตามหลังมา แม้จำเลยจะให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวาก็ไม่อาจทำให้รถที่ขับตามหลังมาเห็นสัญญาณไฟในระยะไกลได้ ถ้าหากจำเลยไม่ขับรถแซงขึ้นไป หรือขับรถแซงขึ้นไปแล้วรอให้รถที่ตามหลังมาแล่นเลยไปก่อนแล้วจึงค่อยเลี้ยวขวา เหตุรถชนกันก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขับรถโดยประมาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขับรถประมาททำให้เกิดอุบัติเหตุ: การแซงในที่คับขันและการห้ามล้อกะทันหัน
จำเลยขับรถยนต์โดยสารตามหลังรถยนต์บรรทุกมาตามถนน ก่อนจะถึงสะพานจำเลยได้ขับรถยนต์โดยสารแซงรถยนต์บรรทุกแล้วขับรถเข้าทางด้านซ้ายมือ จำเลยขับรถยนต์โดยสารนำหน้ารถยนต์บรรทุกไปได้อีกเพียงเล็กน้อย จำเลยก็ห้ามล้อรถยนต์โดยสารอย่างกะทันหันเนื่องจากบนสะพานมีรถเข็นคันหนึ่งกำลังแล่นไปในทิศทางเดียวกันและมีรถอีกคันหนึ่งแล่นสวนมาเป็นเหตุให้รถยนต์บรรทุกซึ่งแล่นตามหลังหยุดไม่ทัน พุ่งเข้าชนท้ายรถยนต์โดยสารที่จำเลยขับทันทีโดย จุดชนอยู่ห่างเชิงสะพานประมาณ 5 เมตร ดังนี้แสดงว่าจำเลยเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถแซงแล้วหักเลี้ยว ทำให้รถชนท้าย เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก
พฤติการณ์ที่จำเลยขับรถยนต์ โดย แซง รถยนต์บรรทุกซึ่ง แล่น เกือบจะถึง เชิงสะพาน เมื่อแซง พ้นแล้ว และขณะที่รถยนต์โดยสาร เพิ่งแล่นเข้าทางด้านซ้ายมือตาม ปกติยังแล่นนำหน้ารถยนต์บรรทุก เพียงเล็กน้อยจำเลยก็ห้ามล้อ รถยนต์โดยสารอย่างกะทันหัน เป็นเหตุ ให้รถยนต์บรรทุกซึ่งแล่นตาม หลังหยุดรถไม่ทัน พุ่ง เข้าชนท้าย รถยนต์ โดยสารที่จำเลยขับทันที ดังนี้ เป็นความประมาทในการขับรถของจำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1489/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานขับรถประมาทและหน้าที่หลังเกิดเหตุ: การนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลมิใช่การหลบหนี
การที่จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทชนผู้ตายแล้วจำเลยนำผู้ตายไปส่งโรงพยาบาลในทันทีหลังจากเกิดเหตุ โดยมิได้แจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จะถือว่าจำเลยหลบหนีไปจนเป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับอันตรายถึงตายตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522มาตรา 160 วรรคสอง หาได้ไม่ จำเลยคงมีความผิดตามมาตรา 160 วรรคแรกเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตราย และหลบหนีไม่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ต้องรับโทษทั้งความผิดต่อชีวิตและจราจร
การที่จำเลยขับรถเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส และรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายได้รับความเสียหายนั้น ถือได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4) ประกอบด้วยมาตรา 147 และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัสอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อันเป็นบทหนัก
เมื่อเกิดเหตุชนแล้ว จำเลยได้หลบหนีและไม่ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากผู้เสียหายได้ขับรถจักรยานยนต์ชนรถยนต์คันที่จำเลยเป็นผู้ขับขี่ตัดหน้าซึ่งเป็นการกระทำโดยเจตนาของจำเลยแยกต่างหากจากการกระทำครั้งแรกอันเป็นเรื่องต่างกรรม จำเลยจึงต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 78, 160 วรรคสอง อีกกระทงหนึ่ง
เมื่อเกิดเหตุชนแล้ว จำเลยได้หลบหนีและไม่ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากผู้เสียหายได้ขับรถจักรยานยนต์ชนรถยนต์คันที่จำเลยเป็นผู้ขับขี่ตัดหน้าซึ่งเป็นการกระทำโดยเจตนาของจำเลยแยกต่างหากจากการกระทำครั้งแรกอันเป็นเรื่องต่างกรรม จำเลยจึงต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 78, 160 วรรคสอง อีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายและหลบหนี ถือเป็นคนละกรรม
การที่จำเลยขับรถเลี้ยวขวาตัดหน้ารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัส และรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายได้รับความเสียหายนั้น ถือได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4) ประกอบด้วยมาตรา 157 และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายสาหัสอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 อันเป็นบทหนัก เมื่อเกิดเหตุชนแล้ว จำเลยได้หลบหนีและไม่ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหาย ไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นภายหลังจากผู้เสียหายได้ขับรถจักรยานยนต์ชนรถยนต์คันที่จำเลยเป็นผู้ขับขี่ตัดหน้าซึ่งเป็นการกระทำโดยเจตนาของจำเลยแยกต่างหากจากการกระทำครั้งแรกอันเป็นเรื่องต่างกรรม จำเลยจึงต้องมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 78,160 วรรคสอง อีกกระทงหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการขับรถประมาท: ผู้ขับขี่มีหน้าที่ตรวจสภาพรถและขับขี่ปลอดภัย แม้ไฟหน้าดับก็ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย
จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์โดยสารมาด้วยความเร็วสูง เมื่อขับขี่เข้าทางโค้งก็ไม่ชะลอความเร็วลง รถจึงเสียการทรงตัวแล่นออกนอกเส้นทางพลิกคว่ำตกข้างถนน ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์โดยประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งโดยสารมาในรถได้รับบาดเจ็บและแม้ไฟหน้าส่องทางรถดับมืดลงก่อนเกิดเหตุเนื่องจากไฟลัดวงจรก็ตาม ก็หาเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ผู้ขับขี่ที่จะต้องตรวจตราระมัดระวังให้รถอยู่ในสภาพเรียบร้อยและขับขี่ด้วยความปลอดภัย จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ทำละเมิดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3360/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากการขับรถประมาท แม้ไฟดับก็ไม่ใช่เหตุสุดวิสัย ผู้ขับขี่ต้องตรวจสภาพรถและขับขี่ปลอดภัย
จำเลยที่ 1 ขับขี่รถยนต์โดยสารมาด้วยความเร็วสูง เมื่อขับขี่เข้าทางโค้งก็ไม่ชะลอความเร็วลง รถจึงเสียการทรงตัวแล่นออกนอกเส้นทางพลิกคว่ำตกข้างถนน ถือได้ว่าจำเลยที่ 1ขับขี่รถยนต์โดยประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งโดยสารมาในรถได้รับบาดเจ็บและแม้ไฟหน้าส่องทางของรถดับมืดลงก่อนเกิดเหตุเนื่องจากไฟลัดวงจรก็ตาม ก็หาเป็นเหตุสุดวิสัยไม่ เพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ผู้ขับขี่ที่ต้องตรวจตราระมัดระวังให้รถอยู่ในสภาพเรียบร้อยและขับขี่ด้วยความปลอดภัย จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ทำละเมิดต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์.