พบผลลัพธ์ทั้งหมด 58 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2724/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีต้องเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย หากมิได้แจ้งประเมินผู้ถูกประเมินโดยตรง หรือมีข้อเท็จจริงไม่ชัดเจน การประเมินนั้นไม่ชอบ
ถึงแม้โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 จะเป็นสามีภริยากัน และโจทก์ที่ 1 มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีตามที่ ป.รัษฎากร มาตรา 57 ตรี แต่การประเมินตาม มาตรา 20 นั้นจะต้องมีการออกหมายเรียกผู้ถูกประเมินมาทำการไต่สวนก่อนตามมาตรา 19การที่เจ้าพนักงานประเมินออกหมายเรียกโจทก์ที่ 1 มาไต่สวนเพียงผู้เดียว จะถือเป็นการออกหมายเรียกโจทก์ที่ 2 ด้วยไม่ได้ดังนี้เจ้าพนักงานประเมินไม่มีอำนาจประเมินให้โจทก์ที่ 2 ชำระภาษีเพิ่ม การประเมินโดยอาศัยอำนาจตาม ป.รัษฎากร มาตรา 20 และมาตรา 49จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ถูกประเมินมีเงินได้พึงประเมินเกินกว่าที่ได้ยื่นรายการไว้ เมื่อโจทก์ที่ 1 และภริยามิได้มีรายได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนในแต่ละปีภาษีที่เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยอ้างจึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 ยื่นรายการเงินได้ต่ำกว่าจำนวนที่ควรต้องยื่น ดังนี้ เจ้าพนักงานของจำเลยจึงไม่อาจประเมินเรียกเก็บภาษีเพิ่มโดยอาศัยเหตุดังกล่าว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3248/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีอาญาผู้มีภาวะวิกลจริต ศาลต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดก่อนพิพากษา
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นผู้วิกลจริตและไม่สามารถต่อสู้คดีได้ แต่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาและพิพากษาลงโทษจำเลยมาโดยมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 14 เสียก่อนจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกามีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2),225 ในอันที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกประชุมผู้ถือหุ้นต้องเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย หากไม่เป็นไปตามขั้นตอน ศาลเพิกถอนมติได้ภายใน 1 เดือน
คำว่า "กรรมการ" ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1172 วรรคแรก หมายถึง คณะกรรมการ มิได้หมายถึงกรรมการคนหนึ่งคนใดหรือหลายคน เมื่อกรรมการคนใดเห็นควรจะเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นก็ชอบที่จะนัดเรียกประชุมกรรมการเพื่อพิจารณากันเสียก่อน และมติของกรรมการจะต้องถือเอาเสียงข้างมากเป็นใหญ่ เมื่อผู้คัดค้านเรียกประชุมใหญ่วิสามัญโดยมิได้กระทำตามขั้นตอนดังกล่าว การนัดเรียกประชุมใหญ่ตลอดจนการประชุมและการลงมติจึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะหุ้นส่วนและบริษัท แต่ก็หาทำให้การประชุมใหญ่และการลงมติที่ได้เกิดขึ้นจริงไม่เป็นการประชุมใหญ่และการลงมติตามกฎหมายไม่ ดังนั้น การร้องขอให้ศาลเพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ดังกล่าวจึงต้องร้องขอภายในกำหนด 1 เดือน นับแต่วันลงมติตามมาตรา 1195
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6047/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตั้งผู้แทนเฉพาะคดี: การแจ้งและการคัดค้าน การพิจารณาคำร้องเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย
การร้องขอให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดี ผู้ร้องอาจยื่นคำร้องได้แต่ฝ่ายเดียว การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โฆษณาประกาศวันนัดไต่สวนทางหนังสือพิมพ์ก็เพื่อให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทราบโดยทั่วไปหากผู้ที่เกี่ยวข้องจะคัดค้านประการใดให้ยื่นคำคัดค้านได้ตามวันเวลาที่กำหนดนัด ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของการไต่สวนคำร้องว่ามีความจำเป็นต้องตั้งผู้แทนเฉพาะคดีหรือไม่ จึงไม่จำต้องส่งสำเนาคำร้องและกำหนดวันนัดไต่สวนให้ผู้ใดทราบเป็นการเฉพาะตัว และการที่ศาลจะตั้งผู้หนึ่งผู้ใดเป็นผู้แทนเฉพาะคดีก็โดยคำนึงถึงประโยชน์เฉพาะตัวของผู้เสียหายเท่านั้น เมื่อศาลมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้แทนเฉพาะคดีแล้ว ผู้หนึ่งผู้ใดจะร้องขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย: ศาลดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย แม้โจทก์มิได้ขอ
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อทางพิจารณาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวอันควรตกเป็นบุคคลล้มละลายดังกล่าว ศาลต้องมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 อันเป็นกระบวนพิจารณาที่ศาลดำเนินไปตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติหาใช่เป็นเรื่องที่ศาลมีคำสั่งนอกเหนือเกินเลยไปจากคำขอตามฟ้อง กรณีจึงไม่ต้องด้วย มาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2660/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย ศาลดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมาย แม้โจทก์มิได้ขอโดยตรง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อทางพิจารณาปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวอันควรตกเป็นบุคคลล้มละลายดังกล่าว ศาลต้องมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 อันเป็นกระบวนพิจารณาที่ศาลดำเนินไปตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติหาใช่เป็นเรื่องที่ศาลมีคำสั่งนอกเหนือเกินเลยไปจากคำขอตามฟ้องกรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2623/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายที่ดินเช่านาตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา: การปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายและการไม่มีอำนาจยับยั้งของคณะกรรมการ
โจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อทำนา ต่อมาจำเลยที่ 1ได้แจ้งเป็นหนังสือต่อโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทในราคา160,000 บาท ถ้าโจทก์จะซื้อให้ตอบภายใน 30 วัน มิฉะนั้นจะขายให้บุคคลอื่น โจทก์ไม่ได้ติดต่อขอซื้อจากจำเลยที่ 1 ดังนั้น เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่โจทก์จะใช้สิทธิซื้อที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยที่ 1ได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 และจดทะเบียนการขายต่อเจ้าพนักงานที่ดิน จึงเป็นการปฏิบัติตามความในมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นแล้วพระราชบัญญัติ ญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มิได้ให้อำนาจคณะกรรมการควบคุมการเช่านาตำบลที่จะยับยั้งผู้ให้เช่านาไม่ให้ขายที่นาที่ให้เช่าได้ แม้คณะกรรมการดังกล่าวจะมีมติยับยั้งไม่ให้ผู้ให้เช่าขายที่ดิน ผู้ให้เช่าก็ไม่จำต้องปฏิบัติตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2623/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายที่ดินเช่านาตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 จำเลยไม่ต้องรอคำสั่งคณะกรรมการ หากปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย
โจทก์เช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 เพื่อทำนา ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้แจ้งเป็นหนังสือต่อโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 จะขายที่ดินพิพาทในราคา 160,000 บาทถ้าโจทก์จะซื้อให้ตอบภายใน 30 วัน มิฉะนั้นจะขายให้บุคคลอื่น โจทก์ไม่ได้ติดต่อขอซื้อจากจำเลยที่ 1ดังนั้น เมื่อพ้นกำหนดเวลาที่โจทก์จะใช้สิทธิซื้อที่ดินพิพาทแล้วจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2และจดทะเบียนการขายต่อเจ้าพนักงานที่ดิน จึงเป็นการปฏิบัติตามความในมาตรา 41 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นแล้ว
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มิได้ให้อำนาจคณะกรรมการควบคุมการเช่านาตำบลที่จะยับยั้งผู้ให้เช่านาไม่ให้ขายที่นาที่ให้เช่าได้แม้คณะกรรมการดังกล่าวจะมีมติยับยั้งไม่ให้ผู้ให้เช่าขายที่ดิน ผู้ให้เช่าก็ไม่จำต้องปฏิบัติตาม.
พระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มิได้ให้อำนาจคณะกรรมการควบคุมการเช่านาตำบลที่จะยับยั้งผู้ให้เช่านาไม่ให้ขายที่นาที่ให้เช่าได้แม้คณะกรรมการดังกล่าวจะมีมติยับยั้งไม่ให้ผู้ให้เช่าขายที่ดิน ผู้ให้เช่าก็ไม่จำต้องปฏิบัติตาม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3029-3030/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้การเพิ่มเติมในคดีแรงงาน ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด หากไม่ถูกต้อง ศาลไม่รับคำให้การ
กระบวนพิจารณาคดีแรงงานนั้น หากจำเลยประสงค์จะยื่นคำให้การเป็นหนังสือก็ชอบที่จะยื่นก่อนวันนัดพิจารณา ถ้ามิได้ยื่นไว้ในวันพิจารณาจำเลยจะให้การต่อศาลแรงงานด้วยวาจา ให้ศาลแรงงานจดบันทึกก็ได้ คำให้การดังกล่าวต่างก็เป็นคำให้การที่ชอบด้วยกฎหมาย หลังจากนั้นหากจำเลยประสงค์จะให้การในเรื่องหนึ่งเรื่องใดอีก ก็ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 179, 180 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 โดยจะต้องทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลแรงงานเพื่อพิจารณาสั่งตามบทกฎหมายดังกล่าว การที่จำเลยให้การด้วยวาจาในวันนัดพิจารณาซึ่งศาลแรงงานจดบันทึกไว้แล้ว ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกจำเลยทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลแรงงานอีก โดยมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบศาลแรงงานย่อมไม่รับคำให้การที่ยื่นนั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3535/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจวินิจฉัยความผิดทางวินัยเป็นของฝ่ายบริหาร ศาลไม่มีอำนาจชี้ขาดหากจำเลยปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย
การที่จะวินิจฉัยว่าข้าราชการผู้ใดมีความผิดทางวินัยหรือไม่นั้นเป็นอำนาจและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ.2518ซึ่งเป็นการใช้อำนาจของราชการฝ่ายบริหารโดยเฉพาะ เมื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของโจทก์วินิจฉัยว่าโจทก์มีความผิดและใช้ดุลพินิจสั่งลงโทษโจทก์ไปตามความเหมาะสมกับสภาพความผิดเท่าที่อยู่ในอำนาจของจำเลยโดยชอบอย่างไรแล้วศาลไม่มีอำนาจที่จะเข้าไปชี้ขาดว่าโจทก์มีความผิดทางวินัยหรือไม่อีกเมื่อจำเลยได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายและได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรไม่ปรากฏว่าจำเลยจงใจกลั่นแกล้งโจทก์แต่อย่างใดจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์.