คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คณะกรรมการ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 151 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2723/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดิน: การกำหนดราคาที่ดินโดยคณะกรรมการและการชำระเงินตามสัญญา แม้มีการสอบเขตภายหลังก็ไม่ถือเป็นการสำคัญผิด
เมื่อคณะอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินได้ตรวจสอบจำนวนเนื้อที่ดินและกำหนดค่าทดแทนที่ดินแล้วได้มีการนำเสนอผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการกำหนดค่าทดแทนทรัพย์สินที่ถูกเขตชลประทาน จากนั้นจึงได้เสนอเรื่องและสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินต่อกรมชลประทานโจทก์เพื่อพิจารณาอนุมัติดังนั้นหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างตัวแทนของโจทก์กับ พ. สามีจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ยอมผูกพันตามสัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นไปด้วยความสมัครใจของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย และมีผลผูกพันให้คู่สัญญาต้องปฏิบัติตามสัญญานั้นแม้ต่อมาได้มีการสอบเขตที่ดินของ พ. อีกครั้งหนึ่งและเจ้าหน้าที่ของโจทก์แต่ฝ่ายเดียวได้จัดแบ่งราคาที่ดินออกเป็นสองส่วน ทำให้ค่าทดแทนที่ดินที่ พ. มีสิทธิได้รับลดลง และโจทก์ได้สมัครใจจ่ายค่าทดแทนจำนวนนี้ให้ พ. ไปแล้ว ต่อมาภายหลังโจทก์จะมากำหนดราคาซื้อขายที่ดินขึ้นใหม่แต่ฝ่ายเดียว เป็นเหตุให้ราคาที่ดินลดต่ำลงโดยผู้ขายไม่ได้ตกลงด้วยหาได้ไม่ จำเลยที่ 4 เป็นช่างรังวัดที่ดิน มีหน้าที่รังวัดแบ่งแยกที่ดินของ พ.ที่ถูกเขตชลประทานตามที่ฝ่ายพ.กับเจ้าหน้าที่ของกรมชลประทานโจทก์นำชี้และตามแนวหลักเขตคลองชลประทานที่เจ้าหน้าที่ของกองสำรวจภูมิประเทศปักไว้ถูกต้องตามระเบียบแล้ว หาได้รังวัดไปโดยพลการตามอำเภอใจของตนไม่ อีกทั้งจำเลยที่ 4 ไม่มีหน้าที่กำหนดค่าทดแทนที่ดิน เพราะในการกำหนดค่าทดแทนที่ดินมีคณะกรรมการระดับจังหวัดและคณะอนุกรรมการระดับอำเภอมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงอยู่แล้ว โจทก์จึงมิอาจอ้างได้ว่าพ. กับจำเลยที่ 4 ร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 71/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานรถไฟ: การจ่ายเงินช่วยค่าครองชีพเป็นดุลพินิจของคณะกรรมการกองทุน
เงินสงเคราะห์รายเดือนที่โจทก์ได้รับมิใช่บำนาญ ตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ แต่เป็นเงินสงเคราะห์ที่จ่ายจากกองทุนสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทย ซึ่งคณะกรรมการรถไฟแห่งประเทศไทยได้ออกข้อบังคับไว้โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 46 แห่ง พ.ร.บ.การรถไฟแห่งประเทศไทย พ.ศ.2494 และการจ่ายเงินสงเคราะห์นี้ ข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4.9 ว่าด้วยกองทุนผู้ปฏิบัติงานของการรถไฟแห่งประเทศไทยข้อ 20 กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานที่ถูกเก็บเงินตามข้อ 5 แห่งข้อบังคับนี้ให้ได้รับเงินสงเคราะห์ครั้งเดียวหรือเป็นรายเดือน โดยอนุโลมตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ และระเบียบการที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายบำนาญทั้งสิ้น และเมื่อ พ.ร.ฎ.เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2532 มาตรา 3(ฉบับที่ 5) พ.ศ.2533 มาตรา 3 และ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2535 มาตรา 3มิใช่ พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ ทั้งมิใช่ระเบียบการที่เกี่ยวข้องกับการจ่ายบำนาญด้วย กรณีจึงไม่จำต้องนำ พ.ร.ฎ.ดังกล่าวมาอนุโลมใช้ตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย
การที่จำเลยจ่ายเงินสงเคราะห์รายเดือนแก่อดีตผู้ปฏิบัติงานรถไฟเช่นโจทก์โดยอนุโลมตาม พ.ร.ฎ.เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2523 แล้วต่อมาจำเลยจ่ายเงินช่วยค่าครองชีพให้แก่ผู้ได้รับเงินสงเคราะห์รายเดือนตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยมิได้อนุโลมตามพ.ร.ฎ.เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญฉบับต่อมาจนถึงปัจจุบันก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการจัดการกองทุนสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติงานในการรถไฟแห่งประเทศไทยผู้มีอำนาจตามข้อบังคับจะพิจารณาเห็นควรนำ พ.ร.ฎ.เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญมาอนุโลมใช้หรือไม่เพียงใด การที่การรถไฟแห่งประเทศไทยจำเลยจ่ายเงินช่วยค่าครองชีพแก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์รายเดือนก็เพื่อให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์รายเดือนเช่นโจทก์ได้รับเงินสงเคราะห์เพิ่มขึ้นเมื่อทางราชการเพิ่มเงินบำนาญให้แก่ผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญทุกครั้ง ฉะนั้น เมื่อจำเลยจะจ่ายเงินช่วยค่าครองชีพให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์รายเดือนมากน้อยเพียงใดก็เป็นดุลพินิจของจำเลยโจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินช่วยค่าครองชีพเพิ่มขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3295/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอดถอนสมาชิกภาพต้องมีเหตุผลอันสมควร การกระทำที่ไม่สามารถควบคุมการฟ้องคดีของผู้อื่นไม่ถือเป็นเหตุให้ถอดถอนได้
โจทก์ที่ 1 เป็นสมาชิกและคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยการที่โจทก์ที่ 1 ทำหนังสือยอมรับมติของคณะกรรมการดำเนินการของจำเลยในการเลิกจ้างนางสาว ก. และรับว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆทางกฎหมายอีกนั้น เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ที่ 1 กับคณะกรรมการดำเนินการของจำเลย การที่นางสาว ก. ฟ้องจำเลยในเรื่องเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและเรียกค่าเสียหายนั้นก็เป็นสิทธิส่วนตัวของนางสาว ก. โจทก์ไม่มีอำนาจบังคับนางสาว ก. มิให้ฟ้องคดีการที่นางสาว ก. ฟ้องจำเลยยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 1 แสดงตนเป็นปรปักษ์หรือไม่ซื่อตรงต่อจำเลยหรือทำให้จำเลยได้รับความเสียหายมติที่ประชุมคณะกรรมการดำเนินการจำเลยที่ให้ถอดถอนสมาชิกภาพของโจทก์ที่ 1 จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2368/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมจาก พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ต้องได้รับการอนุมัติจาก คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
ผู้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริมตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 227 ลงวันที่ 18 ตุลาคม 2515 เมื่อมาขอรับสิทธิและประโยชน์เพิ่มขึ้นตาม พระราชบัญญัติ ส่งเสริมการลงทุนพ.ศ. 2520 มาตรา 31 วรรคสาม จะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนก่อนจึงจะได้รับสิทธิและประโยชน์ที่ขอรับนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีของสหกรณ์: ต้องได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการดำเนินการ
โจทก์มีคณะกรรมการดำเนินการ 15 คน โดยมี ช.เป็นประธานกรรมการ ตามข้อบังคับของโจทก์ระบุอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการดำเนินการในเรื่องอำนาจฟ้องคดีเป็นอำนาจของคณะกรรมการดำเนินการโดย-เฉพาะ เว้นแต่จะได้มอบหมายให้กรรมการหรือผู้จัดการทำแทนตาม มาตรา 24แห่ง พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ.2511 แต่ในการฟ้องคดีนี้ไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการได้มอบหมายให้ ช.ประธานกรรมการและ ก. ผู้จัดการของโจทก์ดำเนินการฟ้องคดีแทนโจทก์ แม้ ช.เป็นกรรมการผู้หนึ่งของโจทก์ แต่ลำพังเพียง ช.คนเดียวมิใช่เสียงข้างมากของคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ ตามความใน ป.พ.พ.มาตรา 77 เดิม จึงไม่อาจดำเนินกิจการของโจทก์ได้ ดังนั้น การที่ ช.และ ก.ลงลายมือชื่อและประทับตราของโจทก์ในใบแต่งทนายความ จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีของสหกรณ์: คณะกรรมการดำเนินการต้องมอบหมายให้ผู้มีอำนาจดำเนินการแทน
โจทก์มีคณะกรรมการดำเนินการ 15 คน โดยมี ช. เป็นประธานกรรมการ ตามข้อบังคับของโจทก์ระบุอำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการดำเนินการในเรื่องอำนาจฟ้องคดีเป็นอำนาจของคณะกรรมการดำเนินการโดยเฉพาะ เว้นแต่จะได้มอบหมายให้กรรมการหรือผู้จัดการทำแทนตาม มาตรา 24 แห่ง พระราชบัญญัติสหกรณ์พ.ศ. 2511 แต่ในการฟ้องคดีนี้ไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการได้มอบหมายให้ ช. ประธานกรรมการและ ก. ผู้จัดการของโจทก์ดำเนินการฟ้องคดีแทนโจทก์ แม้ ช. เป็นกรรมการผู้หนึ่งของโจทก์ แต่ลำพังเพียง ช. คนเดียวมิใช่เสียงข้างมากของคณะกรรมการดำเนินการของโจทก์ ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 77 เดิมจึงไม่อาจดำเนินกิจการของโจทก์ได้ ดังนั้น การที่ ช. และก.ลงลายมือชื่อและประทับตราของโจทก์ในใบแต่งทนายความ จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3843/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนคณะกรรมการสภาองค์การลูกจ้างแรงงานฯ ไม่ใช่สาระสำคัญ มติแก้ไขข้อบังคับชอบด้วยกฎหมายหากสมาชิกมีสิทธิ
การจดทะเบียนคณะกรรมการบริหารของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เป็นเพียงวิธีการทางกฎหมายเพื่อให้ปรากฏหลักฐานทางทะเบียนเท่านั้น และตามข้อบังคับสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย ก็กำหนดไว้เพียงว่าให้คณะกรรมการบริหารมาจากการเลือกตั้งจากผู้แทนสมาชิก ในที่ประชุมใหญ่ โดยไม่มีข้อกำหนดให้ต้องนำรายชื่อคณะกรรมการบริหารที่ได้รับเลือกตั้งไปจดทะเบียน ดังนั้น แม้จะไม่ได้ นำรายชื่อคณะกรรมการบริหารวาระสิงหาคม 2531 ถึง 2534ที่ได้รับเลือกตั้งใหม่ไปจดทะเบียน ก็ถือได้ว่าเป็น คณะกรรมการบริหารของสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทยโดยชอบด้วยกฎหมาย และมีอำนาจพิจารณารับสมาชิกได้โดยชอบสมาชิกที่เข้าเป็นสมาชิกระหว่างคณะกรรมการบริหารวาระสิงหาคม 2531 ถึง 2534 จึงเป็นสมาชิกที่สมบูรณ์ตามกฎหมายมีสิทธิ เข้าชื่อขอเปิดประชุมใหญ่วิสามัญและมีสิทธิเข้าร่วมประชุมแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับได้ ดังนั้น มติที่ให้แก้ไขเพิ่มเติม ข้อบังคับเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2535 จึงเป็นมติที่ ชอบด้วยกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1959/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีแรงงาน: ไม่จำเป็นต้องร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ก่อนฟ้องศาล
ตามพระราชบัญญัติพนักงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2534มาตรา 18 วรรคแรกที่บัญญัติว่า ให้คณะกรรมการกิจการสัมพันธ์มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้ (2) พิจารณาคำร้องทุกข์ของพนักงานหรือของสมาคมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในข้อบังคับของ รัฐวิสาหกิจนั้น ฯลฯ" ส่วนในวรรคสี่และวรรคหก บัญญัติไว้เป็นใจความว่า ผู้ร้องหรือสมาคมซึ่งไม่พอใจผลการพิจารณาคำร้องทุกข์ดังกล่าวของคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ มีสิทธิอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบผลการพิจารณา คำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการให้เป็นที่สุด เห็นได้ว่าคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์จะมีอำนาจหน้าที่พิจารณาในการนี้ก็ต่อเมื่อมีคำร้องทุกข์เท่านั้นไม่ได้หมายความว่าถ้าโจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์แล้ว โจทก์จะนำคดีมาฟ้องต่อศาลไม่ได้เพราะบทบัญญัติดังกล่าวหาได้บังคับให้จำต้องร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการกิจการสัมพันธ์ไม่ จึงมิใช่กรณีที่มีบทบัญญัติให้ร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่มีบทบัญญัติให้ร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือปฏิบัติตามขั้นตอนและวิธีการที่กำหนดไว้ก่อนที่จะนำคดี มาสู่ศาล ตามนัยมาตรา 8 วรรคท้าย แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522เมื่อคดีนี้สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างศาลแรงงานกลางย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 158/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีแรงงาน: การตั้งคณะกรรมการสอบวินัยยังไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิ
ตามคำฟ้องของโจทก์ได้ความแต่เพียงว่า จำเลยออกคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาโทษทางวินัยโจทก์ข้อหากระทำผิดวินัยเท่านั้น จำเลยจะมีอำนาจแต่งตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์หรือไม่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะนำมาพิจารณาในชั้นนี้ โจทก์จะมีความผิดหรือไม่ก็ต้องรอฟังผลการสอบสวนก่อน กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจกรรมการในคณะกรรมการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ชอบด้วยกฎหมายตามประกาศ คปฎ.ฉบับที่ 218
แม้ พระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จะบัญญัติให้คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดประกอบด้วยข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ เป็นกรรมการ โดยมิได้ระบุคำว่าหรือ "ผู้แทน" ไว้ก็ตาม แต่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 218 เรื่องระเบียบบริหารราชการแผ่นดินบัญญัติให้ข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งมอบหมายหรือมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทนได้ข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งซึ่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวจึงมอบหมายให้ข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งอื่นประชุมแทนได้และถือว่าการประชุมคณะกรรมการชอบด้วยกฎหมาย
of 16