พบผลลัพธ์ทั้งหมด 671 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รับของโจร: แม้ไม่พบหลักฐานการลักทรัพย์ แต่การครอบครองทรัพย์ที่ได้จากการลักทรัพย์โดยรู้ว่าเป็นของผิดกฎหมายเข้าข่ายความผิดฐานรับของโจร
จำเลยกับ ว. ซึ่งเป็นพนักงานของห้างผู้เสียหาย ได้ถือกระเช้าของขวัญของห้างผู้เสียหายคนละ 2 กระเช้า เดินข้ามถนนหน้าห้างผู้เสียหาย เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจเห็นพิรุธจึงได้เข้าไปสอบถาม ระหว่างนั้น ว. วิ่งหลบหนีไป ส่วนจำเลยให้การยอมรับว่า จำเลยได้ลักมาจากห้างผู้เสียหาย เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมจำเลย โดยแจ้งข้อหาว่าลักทรัพย์ในเวลากลางคืนและทำบันทึกการจับกุมว่าจำเลยให้การรับสารภาพแต่บันทึกการจับกุมไม่มีรายละเอียดว่าจำเลยลักกระเป๋าของขวัญมาอย่างไร ทั้งในวันเดียวกันนั้นจำเลยให้การปฏิเสธต่อพนักงานสอบสวนและได้ความจากหัวหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยว่า เมื่อได้สำรวจห้างปรากฏว่าไม่มีรอยงัดแงะ ย่อมแสดงว่ากระเช้าของขวัญของกลางที่คนร้ายลักมาจากห้างผู้เสียหายต้องนำออกมาก่อนห้างฯปิด ดังนั้นเวลาที่กระเช้าของขวัญของกลางถูกลักไปน่าจะก่อนเวลาที่เจ้าพนักงานตำรวจพบจำเลยกับ ว. จึงยังฟังไม่ได้แน่ชัดว่า จำเลยเป็นผู้ลักกระเช้าของขวัญ แต่พฤติการณ์ที่จำเลยกับ ว. ถือกระเช้าของขวัญของกลางที่ถูกคนร้ายลักไปจากห้างผู้เสียหายในเวลาดึกดื่นและอ้างต่อเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยว่าเป็นสิ่งของที่จำเลยได้มาจากการจับสลากของขวัญโดยไม่มีการจับสลากของขวัญที่ห้างผู้เสียหาย แสดงให้เห็นว่าจำเลยได้รู้อยู่ว่ากระเช้าของขวัญของกลางเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา การกระทำของจำเลยจึงเป็นการช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จึงเป็นความผิดฐานรับของโจร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2567/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากเหตุยิงในที่สาธารณะ ศาลแก้ไขบทลงโทษตามที่ฎีกาขอ
จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปที่กลุ่มคนหมู่มากและอยู่ในที่จำกัด ย่อมถือได้ว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล เมื่อมีผู้ถูกกระสุนปืนทั้งถึงแก่ความตายและไม่ตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่า
แม้ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มิใช่เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วม มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ศาลฎีกาจึงแก้ไขบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้เท่านั้น ไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
แม้ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา มิใช่เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก็ตาม แต่เมื่อโจทก์และโจทก์ร่วม มิได้ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้น ศาลฎีกาจึงแก้ไขบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้เท่านั้น ไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2560/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การตีความข้อความใส่ร้ายว่าทำให้เสียชื่อเสียงและเข้าข่ายความผิดทางอาญา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยกับพวกตาม ป.อ. มาตรา 326 , 328 , 332 และ พ.ร.บ. การพิมพ์ พ.ศ. 2484 มาตรา 4 , 48 โดยบรรยายข้อความที่จำเลยที่ 2 ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ตามที่จำเลยที่ 1 ให้ข่าวในคำฟ้องว่า "? ซึ่งเป็นการทำซ้ำ
หลักฐานที่ชุดสอบสวนเดิมมอบให้ พล.ต.ต.ส. เท่ากับว่า พล.ต.ต.ส. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต?" คำว่า โดยทุจริตนั้นมีความหมายว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น แม้จะไม่มี รายละเอียดว่าทุจริตอย่างไรก็เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โด้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งอาจทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ สมควรที่ศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามรูปคดี
หลักฐานที่ชุดสอบสวนเดิมมอบให้ พล.ต.ต.ส. เท่ากับว่า พล.ต.ต.ส. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต?" คำว่า โดยทุจริตนั้นมีความหมายว่า เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น แม้จะไม่มี รายละเอียดว่าทุจริตอย่างไรก็เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โด้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่น ซึ่งอาจทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ สมควรที่ศาลชั้นต้นจะต้องทำการไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามรูปคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2333/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องร้องเรียกเงินตามเช็ค: สิทธิเรียกร้องแพ่งแยกจากความผิดอาญา
ในส่วนคดีอาญาจำเลยถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ ส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คอันเป็นสิทธิเรียกร้องที่ไม่ต้องอาศัยมูลความผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ จึงไม่มีเหตุที่ศาลจะรอการพิจารณาคดีส่วนแพ่งไว้ เพื่อรอฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2250/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยักยอกทรัพย์จากการขายสินค้าฝากขาย พนักงานมีหน้าที่ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่น
โจทก์ร่วมส่งสินค้ามาฝากขายที่ห้างสรรพสินค้าแล้วจำเลยซึ่งเป็นผู้ขายและเป็นพนักงานของโจทก์ร่วมประจำห้างสรรพสินค้านั้นเบียดบังยักยอกเอาเงินค่าสินค้าไปเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายไม่ได้รับเงินค่าสินค้าดังกล่าว โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) มีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่จำเลยได้
จำเลยครอบครองสินค้าของโจทก์ร่วม ได้ขายสินค้าให้แก่ลูกค้าโดยไม่ผ่านพนักงานเก็บเงินของห้างสรรพสินค้าและไม่ออกใบเสร็จรับเงิน แล้วนำเงินค่าซื้อสินค้าจากลูกค้าไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ส่งให้โจทก์ร่วม เป็นการเบียดบังทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตจึงมีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคหนึ่ง
จำเลยครอบครองสินค้าของโจทก์ร่วม ได้ขายสินค้าให้แก่ลูกค้าโดยไม่ผ่านพนักงานเก็บเงินของห้างสรรพสินค้าและไม่ออกใบเสร็จรับเงิน แล้วนำเงินค่าซื้อสินค้าจากลูกค้าไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่ส่งให้โจทก์ร่วม เป็นการเบียดบังทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปเป็นของจำเลยหรือบุคคลที่สามโดยทุจริตจึงมีความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1312/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ, ยักยอกเงิน, และเบียดบังทรัพย์สินจากหน้าที่
จำเลยเป็นพนักงานของโจทก์ร่วมได้รับเช็คของลูกค้าเพื่อชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ร่วม แต่กลับนำเช็คนั้นไปเบิกเงินแล้วเก็บไว้เองจึงมีความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเช็คอันเป็นเอกสารของโจทก์ร่วมและทำให้ไร้ประโยชน์ ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมผู้อื่นหรือประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 และฐานยักยอกเงินตามเช็คตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1237/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจดทะเบียนสมรสซ้ำโดยแจ้งข้อมูลเท็จ ไม่ทำให้ผู้อื่นเสียหาย จึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมายอาญา
ขณะที่จำเลยจดทะเบียนสมรสกับ ส. ในวันที่ 10 สิงหาคม 2531 จำเลยไม่มีคู่สมรสเพราะจำเลยจดทะเบียนหย่ากัน ค. ไปก่อนแล้วจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนเงื่อนไขการสมรสตาม ป.พ.พ. มาตรา 1452
จำเลยไม่มีคู่สมรสอยู่ในขณะที่จดทะเบียนสมรส แม้จำเลยจะแจ้งว่าจำเลยเคยสมรสแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็มีผลอย่างเดียวกัน การที่นายทะเบียนจดทะเบียนสมรสให้จำเลยกับ ส. โดยเชื่อว่า จำเลยไม่เคยสมรสมาก่อน จึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137 และมาตรา 267
จำเลยไม่มีคู่สมรสอยู่ในขณะที่จดทะเบียนสมรส แม้จำเลยจะแจ้งว่าจำเลยเคยสมรสแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสก็มีผลอย่างเดียวกัน การที่นายทะเบียนจดทะเบียนสมรสให้จำเลยกับ ส. โดยเชื่อว่า จำเลยไม่เคยสมรสมาก่อน จึงไม่อาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย และไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 137 และมาตรา 267
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8988/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย: การกระทำที่เป็นตัวการร่วมและการแบ่งหน้าที่
แม้จำเลยที่ 3 ไม่ได้มีส่วนในการเจรจาตกลงจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งมอบให้ร้อยตำรวจเอก พ. โดยตรงก็ตามแต่การที่จำเลยที่ 3 นำเมทแอมเฟตามีนไปมอบให้แก่จำเลยที่ 2 และยังคงรออยู่ในที่เกิดเหตุจนกระทั่งถูกจับกุมนั้น น่าเชื่อว่าเป็นเพราะคอยรับเงินจากการจำหน่ายตามคำเบิกความของพลตำรวจ อ. การกระทำของจำเลยที่ 3เป็นการแบ่งแยกหน้าที่ในการครอบครองและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางโดยจำเลยที่ 3 ทำหน้าที่เป็นผู้นำเมทแอมเฟตามีนไปยังที่เกิดเหตุ ส่งมอบให้แก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้จำเลยที่ 2 นำไปส่งมอบให้ร้อยตำรวจเอก พ.ผู้ล่อซื้ออีกต่อหนึ่งจำเลยที่ 3 จึงเป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2ในการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7695/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานจูงใจเจ้าพนักงานให้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แม้ไม่ได้วิ่งเต้นผู้พิพากษาโดยตรงก็มีองค์ความผิด
การที่จำเลยที่ 2 ร่วมเรียกและรับเงินไปจาก น. เป็นการตอบแทนโดยอ้างว่าจะนำไปใช้จูงใจเจ้าพนักงานในตำแหน่งผู้พิพากษาโดยวิธีการอันทุจริตให้กระทำการในหน้าที่พิพากษาคดีโดยรอการลงโทษจำคุกให้แก่ น. ในคดีอาญาที่ น. ถูกฟ้องนั้น ครบองค์ประกอบตามผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 143 แล้ว แม้จำเลยทั้งสองไม่ได้ไปจูงใจผู้พิพากษาให้กระทำการในหน้าที่ให้เป็นคุณแก่ น. ก็ยังครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 143 แม้คำเบิกความของ น. ไม่ได้ระบุชื่อผู้พิพากษาซึ่งมีหน้าที่พิจารณาคดีอาญาที่ น. ถูกฟ้อง ก็ไม่ทำให้การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นความผิดเพราะขาดองค์ประกอบความผิดไปแต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7264/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานฉ้อโกงต้องมีการได้ไปซึ่งทรัพย์สิน การบริการจอดรถไม่ใช่ทรัพย์สิน
โจทก์ขับรถยนต์ของโจทก์ลงจากอาคารจอดรถของจำเลยแล้วแสดงบัตรจอดรถที่มีตราประทับว่าบริการแผนกจัดเลี้ยง 14 ต่อ น. พนักงานรักษาความปลอดภัยซึ่งทำหน้าที่เก็บค่าบริการจอดรถ โจทก์จึงไม่เสียค่าจอดรถแก่จำเลย โดยโจทก์ทราบดีว่าจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างมีข้อห้ามมิให้พนักงานนำรถขึ้นไปจอดบนอาคารจอดรถ และโจทก์ทราบอยู่แล้วว่าวันเกิดเหตุมีการนำรถขึ้นไปจอดโดยไม่มีสิทธิและไม่ได้รับการยกเว้นและโจทก์ควรจะแจ้งความจริงดังกล่าวให้ น. ทราบขณะยื่นบัตรจอดรถนั้นมิใช่กรณีที่ทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ตอนแรก กรณีจะต้องได้ความว่าผู้กระทำผิดได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง โจทก์แสดงบัตรจอดรถที่มีตราประทับว่าบริการแผนกจัดเลี้ยง 14 ต่อ น. เพื่อจอดรถโดยไม่ต้องเสียค่าจอดรถเท่านั้น โจทก์ได้รับผลเพียงการบริการจอดรถจากจำเลยโจทก์หาได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากจำเลยไม่ การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นความผิดอาญาฐานฉ้อโกง และมิได้เป็นการจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย