พบผลลัพธ์ทั้งหมด 134 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5852/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีพนัน: เพียงระบุงวดสลากก็เพียงพอ ไม่ต้องระบุเลขรางวัล
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยกับพวกร่วมกันเล่นการพนันสลากกินรวบโดยจำเลยเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้ และระบุงวดสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ออกเพื่อใช้เป็นเลขพนันได้เสีย เป็นฟ้องที่แสดงการกระทำชัดแจ้งพอสมควรให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี และเป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว ไม่จำต้องระบุเลขรางวัลสลากที่ออกมาในฟ้องด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 284/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การบรรยายรายละเอียดทรัพย์ที่ถูกลักและการรับสารภาพของจำเลย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยลักโช้กอัพ 1 คู่ ราคา 1,300 บาท อันเป็นส่วนประกอบของรถจักรยานยนต์คันสีฟ้า ยี่ห้อยามาฮ่า หมายเลขตัวถัง 37 เค - 002452 ของผู้มีชื่อ ซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลรับผิดชอบของพันตำรวจโทวัชร เข็มศักดิ์สิทธิ์ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันผู้เสียหายและจอดเก็บรักษาอยู่ที่บริเวณสถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน ดังนี้เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับบุคคลและทรัพย์ที่ถูกลักไว้พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้แล้วว่า ทรัพย์ที่จำเลยลักไปเป็นของผู้อื่นซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพมิได้หลงต่อสู้ ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 284/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การบรรยายรายละเอียดทรัพย์ที่ถูกลักและบุคคลผู้เสียหายเพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยลักโช้กอัพ 1 คู่ ราคา 1,300 บาทอันเป็นส่วนประกอบของรถจักรยานยนต์ ยี่ห้อยามาฮ่า หมายเลขตัวถัง37 เค -002452 ของผู้มีชื่อ ซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลรับผิดชอบของพันตำรวจโทวัชร เข็มศักดิ์สิทธิ์ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันผู้เสียหายและจอดเก็บรักษาอยู่ที่บริเวณสถานีตำรวจนครบาลปทุมวันดังนี้เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับบุคคลและทรัพย์ที่ถูกลักไว้พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้แล้วว่า ทรัพย์ที่จำเลยลักไปเป็นของผู้อื่นซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลรับผิดชอบของเจ้าพนักงานตำรวจ ทั้งจำเลยให้การรับสารภาพมิได้หลงต่อสู้ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1659/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา: การระบุสถานที่บุกรุกที่ชัดเจนเพียงพอต่อการเข้าใจข้อหา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองทางเข้าออกหมู่บ้านอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ตั้งอยู่ที่ตำบลและอำเภอใด โดยไม่ได้ระบุว่าเป็นทางเข้าออกทางทิศใดของหมู่บ้าน ย่อมชัดเจนเพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1659/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา กรณีบรรยายสถานที่เกิดเหตุชัดเจนเพียงพอต่อการเข้าใจข้อหา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองทางเข้าออกหมู่บ้านอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันตั้งอยู่ที่ตำบลและอำเภอใดโดยไม่ได้ระบุว่าเป็นทางเข้าออกทางทิศใดของหมู่บ้าน ย่อมชัดเจนเพียงพอให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดีเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1433/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีชิงทรัพย์ที่ไม่ระบุชื่อเจ้าของทรัพย์
ความผิดฐานลักทรัพย์หรือชิงทรัพย์ตามลักษณะของความผิดจะต้องเป็นทรัพย์ของผู้อื่น และโดยปกติฟ้องย่อมต้องระบุชื่อเจ้าของทรัพย์เพื่อจำเลยจะต่อสู้คดีได้ แต่กฎหมายก็มิได้บังคับเด็ดขาดว่าต้องระบุชื่อเจ้าของทรัพย์เสมอไปเช่นในกรณีที่ไม่อาจทราบตัวเจ้าของทรัพย์ที่แน่นอนได้ คำฟ้องเพียงแต่กล่าวไว้พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการเพียงพอแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยชิงทรัพย์ โดยลักเอากระเป๋าสตางค์1 ใบ ราคา 50 บาท เงินสด 370 บาท .....ของหญิงไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 35 ปี ผู้เสียหายไปโดยทุจริต.....เป็นการบรรยายฟ้องที่มีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้วคงขาดแต่ชื่อเจ้าของทรัพย์เท่านั้นแต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจว่าทรัพย์ที่จำเลยลักเอาไปเป็นของผู้อื่น มิใช่เป็นทรัพย์ของจำเลยหรือเป็นทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ ดังนี้ ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ระบุข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลและสิ่งของพอสมควรที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยชิงทรัพย์ โดยลักเอากระเป๋าสตางค์1 ใบ ราคา 50 บาท เงินสด 370 บาท .....ของหญิงไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 35 ปี ผู้เสียหายไปโดยทุจริต.....เป็นการบรรยายฟ้องที่มีข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องครบถ้วนแล้วคงขาดแต่ชื่อเจ้าของทรัพย์เท่านั้นแต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วย่อมเป็นที่เข้าใจว่าทรัพย์ที่จำเลยลักเอาไปเป็นของผู้อื่น มิใช่เป็นทรัพย์ของจำเลยหรือเป็นทรัพย์ที่ไม่มีเจ้าของ ดังนี้ ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ระบุข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลและสิ่งของพอสมควรที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173-1174/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีเช็ค และการพิจารณาความผิดหลายกรรม
ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3 โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยสั่งจ่ายเช็คลงวันที่เท่าใด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินในวันใด ถึงแม้จะมิได้กล่าวว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเวลาใดก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158 (5) เพราะเป็นที่เห็นได้ว่าปฏิเสธการจ่ายเงินในเวลากลางวัน อันเป็นเวลาทำการของธนาคาร
การที่จำเลยออกเช็คสองฉบับชำระหนี้ให้โจทก์คนเดียวก็ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะออกเช็คมิให้มีการชำระเงินตามเช็คในแต่ละฉบับอันเป็นการกระทำผิดสองกรรมต่างกัน
การที่จำเลยออกเช็คสองฉบับชำระหนี้ให้โจทก์คนเดียวก็ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะออกเช็คมิให้มีการชำระเงินตามเช็คในแต่ละฉบับอันเป็นการกระทำผิดสองกรรมต่างกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1173-1174/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีเช็ค และการพิจารณาว่าการออกเช็คหลายฉบับเป็นความผิดกรรมเดียวหรือต่างกรรมกัน
ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯมาตรา3โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คลงวันที่เท่าใดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินในวันใดถึงแม้จะมิได้กล่าวว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเวลาใดก็เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5)เพราะเป็นที่เห็นได้ว่าปฏิเสธการจ่ายเงินในเวลากลางวันอันเป็นเวลาทำการของธนาคาร การที่จำเลยออกเช็คสองฉบับชำระหนี้ให้โจทก์คนเดียวก็ต้องถือว่าจำเลยมีเจตนาที่จะออกเช็คมิให้มีการชำระเงินตามเช็คในแต่ละฉบับอันเป็นการกระทำผิดสองกรรมต่างกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4054/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีของหญิงมีสามีและประเด็นความสมบูรณ์ของฟ้องที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส
จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่าโจทก์เป็นหญิงมีสามีแต่โจทก์ไม่ได้แนบหนังสือให้ความยินยอมมาท้ายคำฟ้อง ฟ้องของโจทก์ไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายโดยมิได้อ้างเหตุแห่งการนี้ว่าที่พิพาทเป็นสินสมรส จึงไม่มีปัญหาที่จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1479 จำเลยจะอ้างข้อสันนิษฐานตามมาตรา 1475 วรรคท้ายมาใช้โดยจำเลยมิได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งหาได้ไม่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 182 มิได้บังคับให้มีการชี้สองสถานทุกคดีไป เมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วก็ย่อมมีอำนาจงดชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลยได้ ไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3790/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระบุสถานที่เกิดเหตุในฟ้องอาญา และการรวมพิจารณาคดีพร้อมการนับโทษ
การระบุถึงสถานที่ที่เกิดการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) ไม่จำต้องระบุตำบลหรือแขวงของสถานที่เกิดเหตุเสมอไป เพียงแต่กล่าวไว้พอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีก็เป็นการ เพียงพอแล้ว การที่โจทก์บรรยายว่าเหตุเกิดที่ธนาคาร ก. สาขาทรงวาด ถนนทรงวาดเขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร อันเป็นธนาคารตามเช็ครายพิพาทของจำเลย ดังนี้ เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) แล้ว
คดี 3 สำนวน ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาเข้าด้วยกัน แต่เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นได้แยกพิพากษาเป็นรายคดี แม้โจทก์จะมิได้มีคำขอให้นับโทษต่อไว้ท้ายฟ้อง แต่โจทก์ก็ได้ยื่นคำขอให้นับโทษต่อกันทุกสำนวนไว้ก่อน ศาลพิพากษาในสำนวนคดีนี้อันเป็นสำนวนหลักของสำนวนที่มีการรวมพิจารณา และศาลชั้นต้นก็ลงโทษจำเลยทุกสำนวนที่ศาลอุทธรณ์ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษ ในคดีอีก 2 สำนวน จึงชอบแล้ว
คดี 3 สำนวน ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาเข้าด้วยกัน แต่เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นได้แยกพิพากษาเป็นรายคดี แม้โจทก์จะมิได้มีคำขอให้นับโทษต่อไว้ท้ายฟ้อง แต่โจทก์ก็ได้ยื่นคำขอให้นับโทษต่อกันทุกสำนวนไว้ก่อน ศาลพิพากษาในสำนวนคดีนี้อันเป็นสำนวนหลักของสำนวนที่มีการรวมพิจารณา และศาลชั้นต้นก็ลงโทษจำเลยทุกสำนวนที่ศาลอุทธรณ์ให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษ ในคดีอีก 2 สำนวน จึงชอบแล้ว