คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำฟ้องเคลือบคลุม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 39 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 904/2496

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องอาญาเคลือบคลุม: การระบุข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรที่ไม่ชัดเจน ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา
ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์ จับจำเลยได้พร้อมด้วยของกลางซึ่งจำเลยลักหรือรับไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำผิด เป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 522/2486

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นเรื่องคำฟ้องเคลือบคลุม ทำให้จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ในประเด็นนั้นได้
สาลชั้นต้นสั่งว่าฟ้องไม่เคลือบคลุมจำเลยมิได้คัดค้านไว้และมิได้อุธรน์พายไน 1 เดือนเมื่อสาลตัดสินแล้ว จำเลยจะยกขึ้น
อุธรน์ไม่ได้ และสาลอุธรน์จะยกขึ้นวินิฉัยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2229/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่ชัดเจนถึงการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำให้ฟ้องเคลือบคลุม ศาลฎีกาให้ยกฟ้อง
คำฟ้องโจทก์ที่บรรยายว่า " ในระหว่างเวลาที่จำเลยทั้งเก้าดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสหกรณ์อยู่นั้น ปรากฏว่าจำเลยทั้งเก้าโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่สหกรณ์ กล่าวคือ มีการทุจริตโดยการอ้างว่ามีสมาชิกของสหกรณ์มาขอกู้ยืมเงินไป เมื่อมีการตรวจสอบปรากฏว่าเป็นความเท็จและเงินในบัญชีอีกส่วนหนึ่งได้ขาดหายไป การกระทำดังกล่าวของจำเลยทั้งเก้าเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่สหกรณ์โจทก์เป็นจำนวนเงิน 3,806,173.44 บาท..." เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์จะให้จำเลยทั้งเก้ารับผิดในมูลละเมิดซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 โจทก์จึงต้องบรรยายฟ้องให้แจ้งชัดว่า จำเลยทั้งเก้าได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างใดถึงได้เกิดความเสียหายขึ้นแก่โจทก์ กล่าวคือ จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างไรจนเป็นเหตุให้ ธ. และ น. ทุจริตยักยอกเงินของโจทก์ไปได้ แต่ตามคำฟ้องดังกล่าว โจทก์ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำเช่นว่านั้นเลย คงกล่าวเพียงว่าจำเลยทั้งเก้าจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เท่านั้น ดังนั้น คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม เพราะมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14550-14707/2553

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเคลือบคลุมในคดีแรงงาน และการกำหนดหน้าที่นำสืบของศาลแรงงาน
การพิจารณาว่าคำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ต้องพิจารณาจากคำฟ้อง โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบแปดบรรยายฟ้องว่า โจทก์แต่ละคนเข้าทำงานกับจำเลยตามวัน เดือน ปี ที่ระบุในคำฟ้องจนถึงวันสุดท้ายที่อ้างว่าถูกจำเลยเลิกจ้าง และเรียกค่าจ้าง ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลา โดยนับจากวันที่โจทก์แต่ละคนเข้าทำงานจนถึงวันสุดท้ายที่ใบอนุญาตทำงานหมดอายุแล้วคำนวณเป็นยอดเงินรวมของค่าจ้าง ค่าทำงานวันหยุด และค่าล่วงเวลา โดยมิได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าจำเลยค้างจ่ายเงินดังกล่าวในงวดใด วัน เดือน ปีใด และค้างจ่ายแต่ละครั้งเป็นจำนวนเท่าใด โดยเฉพาะวันหยุดนั้น พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 5 มีถึง 3 ประเภท คือวันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามประเพณี และวันหยุดพักผ่อนประจำปี ซึ่งตามมาตรา 61 บัญญัติค่าทำงานในวันหยุดสำหรับลูกจ้างซึ่งมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดกับลูกจ้างซึ่งไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดไว้แตกต่างกัน แต่โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบแปดมิได้บรรยายคำฟ้องให้ชัดแจ้งว่าจำเลยค้างชำระค่าทำงานในวันหยุดประเภทใด อัตราค่าทำงานในวันหยุดเท่าไร คำฟ้องของโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบแปดจึงมิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 เป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม
การกำหนดประเด็นพิพาทและหน้าที่นำสืบในคดีแรงงานไม่จำต้องอยู่ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เนื่องจาก พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะได้บัญญัติไว้แล้วในมาตรา 39 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดในคดีแรงงานนำพยานมาสืบก่อนหรือหลังเป็นอำนาจและดุลพินิจของศาลแรงงานโดยเฉพาะ
เดิมโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบแปดซึ่งเป็นคนต่างด้าวพักอาศัยในโรงงานของจำเลย ต่อมาขอออกไปพักอาศัยนอกโรงงานโดยทำข้อตกลงร่วมกับจำเลยว่าโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบแปดมีหน้าที่ต้องดำเนินการต่ออายุใบอนุญาตทำงานก่อนที่ใบอนุญาตทำงานจะสิ้นสุดลงโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง การที่โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบแปดไม่ดำเนินการต่อใบอนุญาตทำงานทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าหากไม่มีใบอนุญาตทำงานจะไม่สามารถทำงานกับจำเลยต่อไปได้ จึงเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบแปดไม่ประสงค์จะทำงานกับจำเลยต่อไป การที่จำเลยไม่ให้โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบแปดทำงานเป็นการดำเนินการให้ต้องตามความประสงค์ของโจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบแปด หาใช่เกิดจากความประสงค์ของจำเลยแต่ต้นที่จะไม่ให้โจทก์ทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบแปดทำงานไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2582/2551

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่ชัดเจนถึงความสัมพันธ์ของจำเลยที่ 2 กับผู้เอาประกันภัย ทำให้จำเลยที่ 2 ต่อสู้คดีไม่ได้ คำฟ้องจึงเคลือบคลุม
โจทก์แนบตารางกรมธรรม์ประกันภัยไว้ท้ายคำฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้ในฐานะใดหรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับ จ. ผู้เอาประกันภัย อันจะเป็นเหตุให้ผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีโอกาสทราบได้เลยว่าผู้เอาประกันภัยต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาอย่างไรและไม่อาจต่อสู้คดีของโจทก์ได้ การบรรยายฟ้องในเรื่องดังกล่าวจึงเป็นสาระสำคัญ มิใช่รายละเอียดที่สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณาเพราะโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 887 คำฟ้องของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงเป็นคำฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5129/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเคลือบคลุมประเด็นค่ารักษาพยาบาล แม้ขอเพิกถอนมติคณะกรรมการ แต่ไม่ได้ระบุจำนวนเงินที่เรียกขอ
โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ได้ความชัดแจ้งว่า โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้โจทก์จำนวนเท่าใด และที่ขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ โจทก์ก็มิได้บรรยายมาในคำขอท้ายฟ้องด้วยว่าขอให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลจำนวนเท่าใด จึงเป็นคำฟ้องที่มิได้กล่าวแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหากับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในส่วนที่ขอให้จำเลยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯ มาตรา 31 จึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5129/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเคลือบคลุมในคดีแรงงาน: การระบุจำนวนเงินค่ารักษาพยาบาลที่ชัดเจน
โจทก์บรรยายฟ้องสรุปความว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยได้ยื่นขอเบิกค่ารักษาพยาบาลของ ว. สามีโจทก์ พร้อมแนบหลักฐานภายในเวลาตามระเบียบ แต่จำเลยตัดสิทธิโจทก์ หรือทำให้สิทธิโจทก์ลดลงอ้างว่า การเจ็บป่วยของ ว. สามารถเข้ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาล ธ. ซึ่งเป็นสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โจทก์จึงเบิกค่ารักษาพยาบาลไม่ได้ ขอให้เพิกถอนมติที่ประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ครั้งที่ 4/2546 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2546 และครั้งที่ 13/2546 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2546 และให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามข้อบังคับ ระเบียบคำสั่งของจำเลย โดยโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ได้ความชัดแจ้งว่า โจทก์ขอให้จำเลยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลให้แก่โจทก์เป็นจำนวนเท่าใด อีกทั้งคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนมติคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ โจทก์ก็มิได้บรรยายมาในคำขอท้ายฟ้องว่า ขอให้จำเลยจ่ายค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนเท่าใด ดังนี้ เมื่อโจทก์มิได้กล่าวแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา กับข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในส่วนที่ขอให้จำเลยจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลแก่โจทก์ คำฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง ประกอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 จึงเป็นคำฟ้องที่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2874/2550

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเคลือบคลุม: สิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายต้องชัดเจนถึงความสัมพันธ์และฐานะทางกฎหมายของผู้ฟ้อง
คำฟ้องของโจทก์ปรากฏข้อความที่กล่าวถึงการที่จำเลยทั้งสามโต้แย้งสิทธิของโจทก์อยู่ในข้อ 3 ว่า "ด้วยผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ดังกล่าวในข้อ 2 ทำให้โจทก์และบุตรอีก 3 คน ต้องได้รับความเสียหายและขาดผู้อุปการะ..." โดยคำฟ้องของโจทก์ข้ออื่นตลอดจนเอกสารท้ายฟ้องทุกฉบับไม่ปรากฏข้อความใดที่ระบุว่าโจทก์และบุตรทั้งสามของโจทก์เกี่ยวข้องหรือมีความสัมพันธ์กับผู้ตาย ในฐานะใด อันมีผลทำให้โจทก์เป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด ในฐานะส่วนตัวหรือฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรทั้งสามได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นการบรรยายฟ้องโดยไม่แจ้งชัดว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องโดยอาศัยสิทธิใดในการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับค่าปลงศพ และโจทก์อาศัยสิทธิใดในการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับเรื่องการต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมไม่เข้าใจและไม่สามารถต่อสู้คดีปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ได้ตามสมควร จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แม้จะได้ความในทางพิจารณาว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 อาจทราบฐานะของโจทก์ว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายมาก่อนที่โจทก์ฟ้องคดี ก็ไม่ทำให้คำฟ้องของโจทก์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่แรกกลับเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4952/2560

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่ต่อสู้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมิได้ ศาลฎีกาพิพากษากลับ
คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง การบรรยายฟ้องจึงต้องให้ได้ความว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่งพร้อมข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอบังคับ หากจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายยื่นคำให้การต่อสู้คดีเห็นว่าคำฟ้องบกพร่องตรงไหน อย่างไร ก็จะต้องให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ว่าคำฟ้องนั้นเคลือบคลุม ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าใครเป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันที่จำเลยรับประกันภัย และมิได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏว่าผู้ขับรถยนต์บรรทุกมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดของผู้ขับรถยนต์บรรทุก คำฟ้องของโจทก์จึงขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่จะทำให้จำเลยต้องรับผิดนั้น จึงเป็นการวินิจฉัยว่าเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมนั่นเอง แต่ปัญหาว่าคำฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่ หาใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยได้เองไม่ หากแต่จำเลยจะต้องยกขึ้นต่อสู้โดยชัดแจ้งเป็นประเด็นไว้ในคำให้การ ซึ่งจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยกขึ้นวินิจฉัยดังกล่าวจึงไม่ชอบ
of 4