คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คู่สัญญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 189 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3151/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิซื้อก่อนตามสัญญาเช่ามีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญา ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก
แม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์ผู้เช่าและจำเลยที่ 1 ผู้ให้เช่าจะระบุว่า เมื่อจำเลยที่ 1 จะขายที่ดินและตึกแถวที่ให้เช่าจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าเพื่อให้โอกาสโจทก์ที่จะซื้อก่อนเมื่อเห็นว่าเป็นราคาสมควรก็ตาม แต่ข้อตกลงนี้ก็เป็นเพียงก่อให้เกิดบุคคลสิทธิมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ซึ่งไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์จึงหามีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3151/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิผู้เช่าซื้อทรัพย์สินก่อนบุคคลภายนอก: สิทธิมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น
แม้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์ผู้เช่าและจำเลยที่1ผู้ให้เช่าจะระบุว่าเมื่อจำเลยที่1จะขายที่ดินและตึกแถวที่ให้เช่าจะต้องแจ้งให้โจทก์ทราบล่วงหน้าเพื่อให้โอกาสโจทก์ที่จะซื้อก่อนเมื่อเห็นว่าเป็นราคาสมควรก็ตามแต่ข้อตกลงนี้ก็เป็นเพียงก่อให้เกิดบุคคลสิทธิมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญาเท่านั้นซึ่งไม่ผูกพันจำเลยที่2ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโจทก์จึงหามีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายระหว่างจำเลยทั้งสองไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2586/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานที่ทำสัญญาเช่าซื้อและอำนาจศาล: การลงลายมือชื่อคู่สัญญาเป็นสำคัญ
สัญญาเช่าซื้อจะต้องทำเป็นหนังสือซึ่งต้องลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมิฉะนั้นจะเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา572วรรคสองดังนั้นแม้มีการจัดทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อให้จำเลยที่1ลงลายมือชื่อในฐานะผู้เช่าซื้อที่จังหวัดลพบุรีแล้วแต่ยังไม่มีการลงลายมือชื่อคู่สัญญาฝ่ายผู้ให้เช่าซื้อจึงยังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์เมื่อมีการส่งสัญญาดังกล่าวไปให้ผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อในสัญญาแทนโจทก์ลงลายมือชื่อในนามผู้ให้เช่าซื้อที่สำนักงานใหญ่ของโจทก์ในท้องที่เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลแพ่งกรุงเทพใต้เพื่อให้สัญญาครบถ้วนบริบูรณ์เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าสำนักงานใหญ่ของโจทก์เป็นสถานที่ที่ทำสัญญาฉบับนี้อันเป็นสถานที่ที่มูลคดีนี้เกิดขึ้นอีกแห่งหนึ่งด้วยโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่1ผู้เช่าซื้อและจำเลยที่2ผู้ค้ำประกันซึ่งต้องรับผิดในมูลความแห่งคดีเกี่ยวข้องกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(1)และมาตรา5

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 118/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์และการผูกพันตามข้อตกลงระหว่างคู่สัญญา ฎีกานี้ตัดสินว่าการโอนสิทธิการเช่ามีผลผูกพันกับโจทก์
คู่สัญญาเช่าโทรศัพท์หมายเลขพิพาทคือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยและจำเลย แต่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยมีข้อตกลงกับโจทก์ว่าด้วยการแบ่งรายได้ค่าพูดโทรศัพท์ระหว่างประเทศว่า ไม่ว่าจะเป็นการใช้โทรศัพท์เรียกเข้าหรือเรียกออก โจทก์จะจ่ายผลประโยชน์ให้แก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย นาทีละ 4 บาท และกำหนดด้วยว่าการเรียกเก็บเงินองค์การ-โทรศัพท์แห่งประเทศไทยจะเป็นผู้เรียกเก็บจากผู้ใช้บริการและกล่าวถึงว่าองค์การ-โทรศัพท์แห่งประเทศไทยและโจทก์ตกลงที่จะแบ่งค่าใช้จ่ายในการลงทุนฝ่ายละครึ่งตามข้อตกลงดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นความตกลงภายในระหว่างโจทก์กับองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเท่านั้น ถือได้ว่าโจทก์และองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นหุ้นส่วนกันในการหาประโยชน์และผลกำไรร่วมกัน นอกจากนี้ระเบียบการสื่อสารแห่งประเทศไทยของโจทก์ ฉบับที่ 224 ว่าด้วยบริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศพ.ศ.2535 หมวด 6 ว่าด้วยการระงับบริการและการยกเลิกการระงับบริการข้อ 32 มีข้อความว่า ผู้เช่าโทรศัพท์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยที่ประสงค์จะดำเนินการตาม ข้อ 31.1 ให้ยื่นคำขอระงับ/ยกเลิกการขอระงับบริการต่อการสื่อสารแห่งประเทศไทยหรือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย การขอระงับการใช้บริการหรือยกเลิกการระงับดังกล่าวจะมีผลต่อเมื่อการสื่อสารแห่งประเทศไทยหรือองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ดำเนินการให้เรียบร้อยแล้ว ดังนี้ การที่จำเลยได้แจ้งการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์หมายเลขพิพาทให้แก่จำเลยร่วมต่อผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2535 และพนักงานขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ลงชื่อรับแบบขอโอนและรับโอนสิทธิการเช่าสองฝ่ายตามเอกสารหมาย ล.3 ในวันเดียวกันนั้นต้องถือว่าจำเลยได้แจ้งระงับการใช้บริการแก่องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยแล้ว และเอกสารหมาย ล.3ซึ่งเป็นแบบฟอร์มขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเองมีใจความว่า จำเลยมีความประสงค์จะขอโอนสิทธิการเช่าพร้อมทั้งภาระผูกพันต่าง ๆ และหนี้สินทั้งหมดที่มีอยู่ก่อนและที่จะปรากฏต่อไปให้แก่จำเลยร่วม ประกอบกับหลังจากมีการโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ตามเอกสารหมาย ล.3 แล้ว องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยต้องส่งเรื่องให้โจทก์ เช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้รับรู้การโอนสิทธิการเช่าซึ่งได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนและผู้รับโอนตามเอกสารหมาย ล.3 ดังกล่าวแล้ว และมีผลผูกพันไปถึงโจทก์ด้วยตามข้อตกลงระหว่างองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยกับโจทก์ และระเบียบของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นจำเลยจึงยกเอาการโอนสิทธิการเช่าดังกล่าวขึ้นยันโจทก์ได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา306 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงพ้นจากความรับผิดในหนี้ค่าบริการใช้โทรศัพท์ระหว่างประเทศตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1037/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินด้วยการโอนชื่อในหลักฐานภาษีบำรุงท้องที่ มิใช่การโอนกรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน คู่สัญญาตกลงกันเองได้
โจทก์ได้ทำสัญญามัดจำซื้อขายที่ดินจำนวน 6 แปลง จากจำเลยในราคา 1,200,000 บาท โดยในวันดังกล่าวโจทก์ได้วางเงินมัดจำให้แก่จำเลยจำนวน 350,000 บาท และจะจัดการโอนที่ดินต่อเจ้าพนักงานภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันทำสัญญา ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าในขณะซื้อขายที่ดินพิพาทกันนั้นโจทก์ทราบดีอยู่แล้วว่าเป็นการซื้อขายโดยการโอนเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองในหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ใบ ภ.บ.ท.5 โดยจดแจ้งต่อเจ้าพนักงานและส่งมอบการครอบครองต่อกัน ดังนั้น ข้อความในสัญญามัดจำที่ว่า "คู่ความตกลงกันว่าจะได้ทำพิธีโอนกรรมสิทธิ์กันต่อเจ้าพนักงาน" จึงหมายถึงการโอนที่ดินพิพาทต่อกันโดยเปลี่ยนชื่อผู้ถือครองในหลักฐานการเสียภาษีบำรุงท้องที่ใบ ภ.บ.ท.5 โดยแจ้งต่อเจ้าพนักงานและส่งมอบการครอบครองกันนั่นเอง ซึ่งจำเลยก็พร้อมที่จะโอนที่ดินพิพาทโดยวิธีดังกล่าวนี้แล้ว แต่โจทก์เป็นฝ่ายไม่ยอมรับโอน ฉะนั้นจำเลยจึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดสัญญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9241/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายตกเป็นพ้นวิสัยเนื่องจากเวนคืนที่ดิน คู่สัญญาไม่ต้องรับผิดชอบและต้องคืนเงินมัดจำ
วัตถุประสงค์แห่งหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทนั้นคือการรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามจำนวนเนื้อที่ที่จะซื้อสำหรับโจทก์และการชำระค่าที่ดินตามจำนวนที่ตกลงกันสำหรับจำเลยเมื่อปรากฎตั้งแต่วันถึงกำหนดโอนตามสัญญาว่ามีการเวนคืนที่ดินและที่ดินที่จะซื้อจะขายอยู่ในเขตเวนคืนด้วยอันจะมีผลทำให้ที่ดินที่จะซื้อจะขายถูกเวนคืนทั้งหมดหรือบางส่วนได้ดังนั้นการปฎิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาจึงเกิดปัญหาทั้งในส่วนจำนวนเนื้อที่ดินที่โจทก์จะพึงได้รับตามที่ได้ตั้งวัตถุประสงค์ไว้และในส่วนจำนวนค่าที่ดินที่จำเลยมุ่งไว้ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ตามสัญญาจะซื้อจะขายกรณีถือได้ว่าการชำระหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่พิพาทในคดีนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา372ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องชำระหนี้ต่อกันต่อไปอีกกรณีไม่อาจถือได้ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาแต่ประการใดโจทก์จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้สำหรับเงินมัดจำที่จำเลยรับไว้จากโจทก์40,000,000บาทนั้นเมื่อการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้จำเลยก็ต้องคืนให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6491/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าต่อเป็นข้อตกลงเฉพาะคู่สัญญา บุคคลภายนอกผู้รับโอนสิทธิไม่มีผลผูกพัน
สัญญาเช่าระหว่างผู้ให้เช่าเดิมกับจำเลยระบุว่า ผู้ให้เช่าตกลงให้ผู้เช่าต่อระยะเวลาการเช่าไปอีกหลังจากที่สัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้วเป็นเพียงข้อตกลงต่างหากนอกเหนือจากสัญญาเช่าซึ่งเป็นบุคคลสิทธิ ไม่ใช่เป็นทรัพยสิทธิที่จะได้เช่าต่อไป คงผูกพันเฉพาะคู่สัญญาคือผู้ให้เช่าห้องพิพาทเดิมกับจำเลยเท่านั้น ไม่มีผลผูกพันโจทก์วึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องพิพาทซึ่งมิได้ตกลงกับจำเลยในข้อตกลงดังกล่าว จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะขอให้โจทก์ต่อสัญญาเช่าให้อีก เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ในห้องพิพาทต่อไป จำเลยก็ต้องออกไปจากห้องพิพาทนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3945/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความบังคับใช้ได้เฉพาะคู่สัญญา ผู้ไม่อยู่ในสัญญาไม่อาจถูกบังคับตามคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขาย ขอให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ต่อมาคู่ความได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลพิพากษาตามยอมว่าจำเลยยอม ขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ดังนี้ กรณีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) เพราะผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกมิได้ถูกฟ้องและมิได้ตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย ผู้ร้องจะเป็นบริวารจำเลยหรือไม่ก็ตาม โจทก์ย่อมไม่อาจอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมมาบังคับแก่ผู้ร้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3945/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันเฉพาะคู่สัญญา ผู้ที่ไม่ได้ตกลงไม่ผูกพัน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาซื้อขายขอให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้วคู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยยอมขนย้ายทรัพย์สินพร้อมบริวารออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังนี้ผู้ร้องทั้งสามจะเป็นบริวารของจำเลยหรือไม่ก็ตามเมื่อผู้ร้องทั้งสามมิได้ถูกฟ้องและมิได้ตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยโจทก์ย่อมไม่อาจอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมมาบังคับแก่ผู้ร้องทั้งสามกรณีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8418/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีซื้อขายวัสดุก่อสร้าง: การกระทำโดยไม่ได้รับมอบอำนาจทำให้โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญา
ว. มิได้มีรายชื่อเป็นกรรมการของโจทก์ ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างในหนังสือสัญญาซื้อขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง และประทับตราสำคัญของโจทก์ในช่องผู้ขายแทนโจทก์เพียงผู้เดียว โดยไม่ปรากฏว่า ว. มีสิทธิหรืออำนาจอันใดที่จะลงลายมือชื่อในสัญญาฉบับนั้นแทนโจทก์ได้ จึงเป็นการกระทำโดยไม่มีสิทธิและโดยปราศจากอำนาจ โจทก์จึงไม่ใช่คู่สัญญาของจำเลยแม้โจทก์จะนำสืบว่า โจทก์ได้ส่งมอบวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างงวดที่ 2 และงวดที่ 3 ให้แก่จำเลย และจำเลยได้รับสินค้าแล้วตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7 โดย ป. ลงลายมือชื่อในช่องผู้ขายผู้ส่งมอบวัสดุแทนโจทก์ เมื่อปรากฏว่าป.เป็นพนักงานของบริษัทอื่น มิได้เป็นกรรมการหรือพนักงานของโจทก์ ป.จึงไม่มีสิทธิทั้งไม่ใช่ผู้มีอำนาจที่จะขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างแทนโจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่คู่สัญญาของจำเลยในการซื้อขายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.7เช่นกัน โจทก์ไม่มีสิทธิกล่าวอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาต่อโจทก์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องไว้ แต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน และปัญหานี้เกิดจากข้อเท็จจริงตามเอกสารที่โจทก์อ้างมา จึงเป็นข้อเท็จจริงในการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ศาลย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
of 19