คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
จัดการทรัพย์สิน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 76 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3019/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของผู้ทรงสิทธิเก็บกินในการจัดการทรัพย์สิน และการบอกเลิกสัญญาเช่าหลังสัญญาต่างตอบแทนสิ้นสุด
บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของ ส. ซึ่งได้จดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกิน โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิเก็บกินย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สินคือบ้านและที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1417 การฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากบ้านและที่ดินพิพาทเป็นการจัดการทรัพย์สิน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
สัญญาเช่ามีใจความว่า โจทก์ยอมให้ จ.เช่าที่ดินพิพาทเพื่อปลูกสร้างอาคารเพื่อทำการค้าขาย เมื่อผู้เช่าเลิกกิจการค้าแล้วผู้ให้เช่ายอมให้ผู้เช่าเซ้งได้ภายในกำหนด 10 ปี เมื่อพ้นกำหนด 10 ปี แล้วผู้เช่าจะเซ้งหรือรื้อถอนไม่ได้ อาคารและสิ่งปลูกสร้างต้องเป็นของผู้ให้เช่าเมื่อผู้เช่ายังทำการค้าขายอยู่ ผู้ให้เช่าจะฟ้องขับไล่ผู้เช่าไม่ได้เว้นแต่ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญา ย่อมหมายความว่า โจทก์ยอมให้ จ. เช่าที่ดินพิพาทและโอนสิทธิการเช่าได้ภายในกำหนด 10 ปีเพื่อตอบแทนที่ จ. ปลูกสร้างอาคารในที่ดินพิพาทแล้วยกให้โจทก์เมื่อครบ 10 ปี สัญญาต่างตอบแทนนี้จึงมีกำหนดเวลา 10 ปี และข้อสัญญา ที่ว่าเมื่อผู้เช่ายังทำการค้าขายอยู่ผู้ให้เช่าจะฟ้องขับไล่ผู้เช่าไม่ได้จึงใช้บังคับได้ภายใน 10 ปี เช่นกัน
สัญญาต่างตอบแทนสิ้นสุดแล้ว จ. ยังคงอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทต่อมาโดยเสียค่าเช่าเป็นรายเดือนจึงเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลาเมื่อ จ. ตายสัญญาเช่าจึงระงับ จำเลยทั้งสามเช่าบ้านและที่ดินพิพาทต่อมาโดยไม่ได้กำหนดเวลาเช่าไว้ โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 เมื่อปรากฏว่านับแต่วันที่จำเลยทั้งสามได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า 2 เดือน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสามได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2500/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์รวม, การจัดการทรัพย์สินบุตร, ฟ้องเคลือบคลุม, สิทธิเจ้าของรวม, การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยไม่ยอมออกไปจากโรงเรือนของโจทก์และปลูกโรงเรือนในที่ดินของโจทก์ โดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นการละเมิดต่อโจทก์แม้จะปรากฏว่าโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องรวมกับบุคคลอื่นแต่ไม่ระบุในฟ้องจำเลยก็เข้าใจข้อหาได้ดี จึงได้ให้การว่าโฉนดที่ดินพิพาทมีชื่อผู้อื่นถือกรรมสิทธิ์ร่วมกับโจทก์ จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
บุตรของจำเลยซึ่งเป็นผู้เยาว์ถือกรรมสิทธิ์รวมกับโจทก์ในที่ดินพิพาท จำเลยย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุตรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1571 การที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนในที่ดินของบุตรถือได้ว่าเป็นการจัดการทรัพย์สินของบุตรทั้งยังได้ปลูกในส่วนที่เป็นของบุตรจึงไม่เป็นการขัดต่อสิทธิแห่งโจทก์ผู้เป็นเจ้าของรวมโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนออกไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3445/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการสินสมรส: การใช้สิทธิเรียกร้องให้จัดการทรัพย์สินเฉพาะอย่างตามมาตรา 1485 ต้องแสดงเหตุผลประโยชน์ยิ่งกว่า
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ที่แก้ไขใหม่นั้นกำหนดไว้เป็นหลักทั่วไปให้สามีและภรรยาเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกัน เว้นแต่จะมีสัญญาก่อนสมรสหรือสัญญาระหว่างสมรสระบุไว้เป็นอย่างอื่น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1485 หมายถึงการจัดการสินสมรสแก่ทรัพย์สินเฉพาะอย่างซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากหรือมีความสำคัญเป็นพิเศษซึ่งสามีหรือภรรยาร้องขอต่อศาลให้ตนเป็นผู้จัดการทรัพย์สินดังกล่าวโดยลำพังหรือเข้าร่วมจัดการด้วยได้ไม่ว่าคู่สมรสจะมีสัญญาก่อนสมรสหรือสัญญาระหว่างสมรสตกลงกันไว้อย่างไร สามีหรือภรรยาก็อาจร้องขอต่อศาลไม่ให้ต้องปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวหรือถ้าไม่มีทั้งสัญญาก่อนสมรสและระหว่างสมรส สามีหรือภรรยาก็อาจร้องขอต่อศาลให้ตนเป็นผู้จัดการสินสมรสดังกล่าวแต่ผู้เดียว อันเป็นข้อยกเว้นจากหลักทั่วไป ทั้งสองกรณีนี้ ผู้ร้องขอต่อศาลจะต้องแสดงให้เห็นว่าการที่จะทำเช่นนั้น จะเป็นประโยชน์ยิ่งกว่า
กรณีของโจทก์ โจทก์ต้องการเป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกับสามีตามอำนาจที่มีอยู่แล้วเท่านั้น โจทก์จึงไม่อาจอาศัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1485 ร้องขอให้ศาลตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการสินสมรสร่วมกับจำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 813/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมีส่วนได้เสียในการเป็นผู้จัดการมรดก: การจัดการทรัพย์สินโดยได้รับความไว้วางใจไม่ถือเป็นส่วนได้เสีย
การที่ผู้ตายเคยระบุให้ผู้ร้องเป็นผู้ได้รับประโยชน์มีสิทธิรับเอาเงินประกันชีวิต และได้รับความไว้วางใจจากผู้ตายให้จัดการทรัพย์สิน เช่น ฝากเงินในธนาคารชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ดินและอื่น ๆ นั้น เป็นการใช้ให้กระทำในฐานะญาติหรือตัวแทน ถือไม่ได้ว่ามีส่วนได้เสียในกองมรดก ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ตั้งเป็นผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713
กรณีศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องซึ่งเป็นการวินิจฉัยประเด็นในคดีตามคำร้องแล้วต้องถือว่าเป็นคำสั่งชี้ขาดคดีหาใช่เป็นคำสั่งไม่รับคำฟ้องหรือคำร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 151 ไม่จึงไม่มีเหตุผลที่ศาลจะต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้ผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2523/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารพาณิชย์ไม่ใช่ผู้จัดการทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 การหักบัญชีผิดไม่ใช่ความผิดฐานยักยอก
จำเลยเป็นธนาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถาม หรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้ และมีสิทธิ ใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทางได้ ตามที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 มาตรา 4 ดังนั้นความสัมพันธ์ ระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้ฝากเงิน กับจำเลยซึ่งเป็นผู้รับฝากเงินจึงเป็นไป ตามพระราชบัญญัติ การธนาคารพาณิชย์ โดยจำเลยมีฐานะเป็นเพียง ผู้รับฝากเงิน ของโจทก์อย่างธนาคารพาณิชย์เท่านั้น จำเลยหาได้รับ มอบหมาย ให้จัดการทรัพย์สินของโจทก์ตามความหมายที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 353 แห่งประมวลกฎหมายอาญาแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 181/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องคดีจัดการสินบริคณห์: การใช้บทบัญญัติเดิมก่อนมีการแก้ไขกฎหมาย
พระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 มาตรา 7 บัญญัติว่าบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ ไม่กระทบกระเทือนถึงอำนาจการจัดการสินบริคณห์ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่แล้วในวันใช้บังคับบทบัญญัติบรรพ 5 ใหม่นี้ เมื่อคดีได้ความว่าโจทก์ได้ที่พิพาทมาตั้งแต่ พ.ศ. 2499 โจทก์ซึ่งเป็นสามีมีอำนาจจัดการรวมทั้งมีสิทธิฟ้องคดีเพื่อประโยชน์แก่ที่พิพาทซึ่งเป็นสินบริคณห์นั้นได้อยู่แล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5(เดิม) มาตรา 1468,1469 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้โดยลำพัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2442/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ผู้จัดการมรดก: การยื่นบัญชีทรัพย์และการจัดการทรัพย์สิน
บัญชีทรัพย์ที่ผู้จัดการมรดกยื่นต่อศาลขณะร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ไม่ใช่บัญชีทรัพย์มรดกที่ผู้จัดการจะต้องลงมือจัดทำให้แล้วเสร็จภายหลังที่ได้รับหน้าที่เป็นผู้จัดการมรดก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1728, 1729
เมื่อทรัพย์มรดกที่อยู่ในความครอบครองของ ส.ผู้จัดการมรดกมีเพียงสิทธิในการเช่าที่ดิน 1 แปลงกับบ้านไม้ที่ได้ปลูกอยู่ในที่ดินเท่านั้น ซึ่ง ส.ผู้จัดการมรดกก็ได้เคยยื่นบัญชีทรัพย์แสดงต่อศาลไว้ขณะยื่นคำร้องขอครั้งหนึ่งแล้ว มิได้ปิดบังทรัพย์มรดกแต่อย่างไดแสดงว่ามิได้เพิกเฉยในหน้าที่ผู้จัดการมรดกประกอบมีพฤติการณ์อื่นจึงไม่สมควรถอน ส.จากเป็นผู้จัดการมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2380/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ให้เช่าซื้อเมื่อโอนที่ดินไม่ได้ และผลกระทบจากการจัดการทรัพย์สินช้าช้าต่อภาระดอกเบี้ย
ผู้ให้เช่าซื้อต้องรับผิดถ้าโอนที่ดินที่ให้เช่าซื้อให้แก่ผู้เช่าซื้อไม่ได้ โดยรับผิดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น การจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้เนิ่นช้าทำให้เพิ่มภาระดอกเบี้ยจำนอง มติที่ประชุมเจ้าหนี้ให้ขายที่ดินจึงไม่ขัดต่อประโยชน์อันร่วมกันของเจ้าหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 755/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่เป็นทรัพย์สินของพระมหากษัตริย์ ผู้ร้องมีสิทธิขอคำสั่งศาลเพื่อดำเนินการจัดการทรัพย์สิน
คำว่า 'หนี้' ที่บัญญัติไว้ในตอนต้นของมาตรา 350 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มิได้หมายถึงเฉพาะหนี้เงินเท่านั้นแต่ยังรวมถึงหนี้อื่นๆ ด้วย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาขายที่ดินมีโฉนดให้แก่โจทก์โจทก์เข้าครอบครองที่ดินนั้นและชำระราคาครบถ้วนแล้ว เหลือแต่การโอนโฉนด โจทก์ย่อมได้ชื่อว่าอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อน โจทก์จึงเป็นเจ้าหนี้แน่นอนของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ซึ่งจำเลยทั้งสองมีหนี้ที่จะต้องโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 กลับโอนขายที่ดินนั้นให้จำเลยที่ 3 ไปเสีย โดยจำเลยทั้งสามทราบอยู่แล้วว่า โจทก์กำลังจะฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 แต่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นผู้มีทรัพย์สินมากพอที่จะชำระหนี้ค่าเสียหายให้โจทก์ได้ แม้หนี้สินอื่นที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้โจทก์อยู่เป็นจำนวนมาก จำเลยก็ชำระให้โดยไม่บิดพลิ้ว การที่จำเลยทั้งสองไม่ยอมโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์นั้น เป็นเพราะโจทก์กับจำเลยแปลความในสัญญากันคนละทาง มิใช่เพราะมีเจตนาที่จะไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จึงเป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดทางอาญาฐานโกงเจ้าหนี้ และจำเลยที่ 3 ผู้รับซื้อที่ดินนั้นไว้ ก็ย่อมไม่มีความผิดทางอาญาดุจกัน (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 13/2517 และครั้งที่ 2/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1175/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจจัดการสิทธิการเช่าของสามีตามกฎหมาย และหน้าที่ชำระค่าเช่าของผู้เช่า
สามีมีอำนาจที่จะเอาตึกแถวซึ่งภริยาเช่าไปให้ผู้อื่นเช่าได้เพราะสิทธิตามสัญญาเช่าเป็นทรัพย์สินซึ่งสามีมีอำนาจจัดการได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1468 โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะได้มีการเช่าช่วงระหว่างสามีภริยากันหรือไม่
of 8