คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
จำเลยที่ 2

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 57 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้: จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนรู้เห็น จึงไม่มีความผิด
จำเลยที่ 1 โอนสิทธิการเช่าตึก ซึ่งจำเลยที่ 1 นำมาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้กับโจทก์ในศาล และโอนทรัพย์สินอื่นที่โจทก์นำยึดไว้ให้จำเลยที่ 2 ทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้รู้เห็นในเรื่องที่จำเลยที่ 1 ได้นำสิทธิการเช่าตึกดังกล่าวไปค้ำประกันการชำระหนี้ไว้กับโจทก์ และการที่จำเลยที่ 2ร้องขัดทรัพย์ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดก็เป็นการใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมาย คดีสำหรับจำเลยที่ 2 จึงไม่มีมูล.(ที่มา-เนติ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 231/2530

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานขัดแย้ง ศาลฎีกายกฟ้องจำเลยที่ 2 เหตุพยานผู้เสียหายเบิกความไม่สอดคล้องกัน
แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเพียงปากเดียวเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนร้าย แต่ในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยที่ 1ก็ให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกระทำผิดด้วย ทั้งได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพไว้ถึง 2 ครั้ง กับยังปรากฏด้วยว่าหลังจากเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 1 ได้นำอาวุธปืนลูกซองสั้นไปฝากบุคคลอื่นไว้ อาวุธปืนกระบอกนี้เมื่อนำมาพิสูจน์เปรียบเทียบกับปลอกกระสุนปืนลูกซองที่พบในที่เกิดเหตุ ปรากฏว่าเป็นปลอกกระสุนปืนที่ยิงมาจากอาวุธปืนกระบอกดังกล่าว พยานหลักฐานโจทก์จึงประกอบกันมั่นคงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำความผิดดังโจทก์ฟ้อง
เมื่อคำเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นประจักษ์พยานของโจทก์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 เป็นที่น่าสงสัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้กระทำผิดจริงหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1628/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำของจำเลยที่ 2 ไม่ถึงขั้นเป็นตัวการร่วมในความผิดพยายามฆ่า แม้จะมีส่วนเกี่ยวข้องก่อนและหลังเหตุการณ์
การที่ก่อนเกิดเหตุทำร้ายผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 ถาม จำเลยที่ 2ว่าออกจากบ้านผู้เสียหายแล้วรู้จักทางไหม จำเลยที่ 2 ตอบ ว่ารู้จักและจำเลยที่ 2 เข้าห้องน้ำพร้อมกับจำเลยที่ 1 แล้วออกจากห้องน้ำพร้อมกันทั้งเมื่อผู้เสียหายถูกจำเลยที่ 1 ทำร้ายแล้วร้องขอให้จำเลยที่ 2 ช่วย จำเลยที่ 2 ตอบ ว่าช่วย ไม่ได้นั้น พฤติการณ์ดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมเป็นตัวการในการพยายามฆ่าผู้เสียหายด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2998/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกระทำผิดใช้เช็คปลอมและฉ้อโกง จำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่ พิจารณาจากพยานหลักฐาน
ผู้อื่นนำเช็คปลอมไปเบิกและรับเงินในบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 จากธนาคาร การที่จำเลยที่ 2 นำเงินเข้าฝากในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 เป็นสิ่งปกติธรรมดาเพราะเป็นภริยาของจำเลยที่ 1 ส่วนการที่จำเลยที่ 2 ฝาก ถอนเงินในบัญชีของตนเองที่อีกธนาคารหนึ่ง แม้บางครั้งบางเวลาจำนวนเงินจะใกล้เคียงกับจำนวนเงินที่มีผู้นำเช็คปลอมไปถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 1 ซึ่งอาจเป็นเหตุบังเอิญได้ ยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกระทำผิดในการใช้เอกสารปลอมและฉ้อโกงธนาคาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1808/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดสิทธิฎีกา: จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิฎีกาในความรับผิดของจำเลยที่ 3 เนื่องจากเป็นคู่ความร่วมกัน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต่อโจทก์ในวงเงินที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 ไม่ส่งต้นฉบับกรมธรรม์ประกันภัย ไม่ชอบที่จะรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐาน ขอให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดต่อโจทก์เต็มจำนวนด้วยนั้น จำเลยที่ 2 มิได้อยู่ในฐานะเป็นคู่ความคนละฝ่ายกับจำเลยที่ 3. จึงไม่มีสิทธิฎีกาในปัญหาเกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 3 และปัญหานี้โจทก์มิได้ฎีกา การที่โจทก์ยกขึ้นกล่าวอ้างไว้ในคำแก้ฎีกาไม่เป็นประเด็นในชั้นฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาเข้าร่วมกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น แม้ไม่ได้เป็นผู้ลงมือ และการพิพากษาจำเลยที่ 2 ที่ไม่มีส่วนร่วม
จำเลยที่ 1 ได้ร่วมไปกับ ค.และพวกบังคับขอเงินจากส. และสุ จนเกิดเหตุ ค.ใช้ขวานฟันส.แล้วหนีไปกับค. และพวก ต่อมาจำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนมาด้วยกับ ค.และพวก เพื่อจะทำร้ายส. และ สุ อีกเมื่อผู้ตายซึ่งเป็นพวกของส.และสุขัดขวาง ค. กับพวกใช้ปืนยิงผู้ตาย แม้จะไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยิงผู้ตาย ก็ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เจตนาร่วมกับ ค. และพวกกระทำผิด ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้อยู่ในการวิวาทครั้งแรก ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ไม่มีอาวุธปืน การที่จำเลยที่ 2 เพียงแต่มาด้วยกับ ค. และพวกในครั้งหลังเท่านั้น ไม่มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่าก่อนหน้านั้นได้มีการสมคบจะมาทำร้ายหรือฆ่าผู้ตายอย่างใด ขณะเกิดเหตุคงยืนอยู่ด้วยเฉย ๆ ไม่ได้พูดจาหรือแสดงอาการใดที่เป็นการร่วมกระทำกับจำเลยที่ 1 และคนอื่น ๆ จึงยังไม่พอฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ตั้งใจร่วมกับจำเลยที่ 1 และ ค. ที่จะยิงผู้ตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2473/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดตามเช็คและการพิสูจน์มูลหนี้เดิม: จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดหากไม่ได้ลงลายมือชื่อในเช็ค
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินที่ยังค้างชำระตามเช็คพร้อมกับแนบรูปถ่ายเช็คมาท้ายฟ้อง โดยกล่าวอ้างในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่โจทก์มิได้กล่าวถึงจำเลยที่ 2 ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใดกับเช็คด้วย ฟ้องของโจทก์จึงแสดงให้เห็นอยู่แล้วว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีลายมือชื่อในเช็ค ทั้งรูปถ่ายเช็คท้ายฟ้องก็ไม่มีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ฉะนั้น การที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 มิได้ลงลายมือในเช็คไม่ว่าในฐานะผู้สั่งจ่ายหรือฐานะอื่นใด อันเป็นการแสดงว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเช็คนั้น จึงมิใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเพราะเป็นการกล่าวถึงข้อเท็จจริงตามที่ได้ความจากคำฟ้องของโจทก์เอง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากัน ได้ก่อหนี้ร่วมกันโดยจำเลยที่ 1 ออกเช็คแลกเงินสดจากโจทก์ ดังนี้ เช็คหาใช่หลักฐานแห่งหนี้หรือแสดงว่าจำเลยเป็นหนี้ไม่ แต่เป็นการสั่งธนาคารให้ใช้เงิน กรณีนี้ต้องถือว่าเป็นการชำระหนี้โดยใช้เช็คแทนเงิน เกิดความผูกพันระหว่างกันในลักษณะตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 ซึ่งบุคคลที่ลงลายมือชื่อในเช็คเท่านั้นที่จะต้องรับผิดตามข้อความในเช็ค แม้โจทก์จะอ้างว่า ฟ้องเรียกเงินตามมูลหนี้เดิมก็ไม่ทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามฟ้อง เพราะจำเลยที่ 2 มิได้มีลายมือชื่อในเช็คหากจะถือว่ามูลหนี้เดิมเป็นหนี้กู้ยืมเงิน โจทก์ก็ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยที่ 2 มาแสดง โจทก์จึงฟ้องร้องบังคับจำเลยที่ 2 หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อที่ไม่สมบูรณ์ และความรับผิดของคู่สัญญาเมื่อมีการผิดสัญญา โดยจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด
โจทก์และจำเลยที่ 1 อยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียนสมรสได้ตกลงกันให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเช่าซื้ออาคารสงเคราะห์เป็นผู้เช่าซื้อโดยโจทก์เป็นผู้ออกเงินค่าเช่าซื้อ และภายหลังเมื่อจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในอาคารนั้นแล้วให้โอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์หรือบุตรเมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติตามข้อตกลงให้สำเร็จลุล่วงไป แต่กลับเอาสิทธิการเช่าซื้อไปโอนให้จำเลยที่ 2 เสีย เป็นเหตุให้โจทก์หรือบุตรไม่อาจรับโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นได้ เช่นนี้จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
การที่จำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิเช่าซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยรู้ถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวนั้น ไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาอย่างใดกับโจทก์ เพราะระหว่างจำเลยที่ 2 กับโจทก์หาได้มีสัญญาต่อกันอย่างใดไม่และแม้โจทก์จะก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมสิ้นเงินไป 25,000 บาท การที่จำเลยที่ 2 รับโอนสิทธิเช่าซื้ออาคารนี้มาก็ไม่เป็นลาภมิควรได้อันต้องคืนแก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 382/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยที่ 1 รับผิดแต่จำเลยที่ 2 ต่อสู้คดี โจทก์ต้องพิสูจน์ความประมาทของจำเลยที่ 1 เอง
ในกรณีที่จำเลยที่ 1, 2 ถูกฟ้องร่วมกันมาเพื่อให้ใช้ค่าเสียหายนั้น ถึงแม้จำเลยที่ 1 จะให้การรับว่าได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจริง แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเช่นนี้ โจทก์ต้องนำสืบหักล้างให้ฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ประมาท ทั้งนี้ เพราะคำให้การอันเป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1กระทำไปนั้นเป็นที่เสื่อมเสียแก่จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 382/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยที่ 1 รับผิดแม้จำเลยที่ 2 คัดค้าน โจทก์ต้องพิสูจน์ความประมาทเพื่อผูกมัดจำเลยที่ 2
ในกรณีที่จำเลยที่ 1,2 ถูกฟ้องร่วมกันมาเพื่อให้ใช้ค่าเสียหายนั้นถึงแม้จำเลยที่ 1 จะให้การรับว่าได้กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายจริง
แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันปฏิเสธว่าจำเลยที่ 1 มิได้ประมาทเช่นนี้ โจทก์ต้องนำสืบหักล้างให้ฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ประมาท ทั้งนี้เพราะคำให้การอันเป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1 กระทำไปนั้นเป็นที่เสื่อมเสียแก่จำเลยที่ 2 ย่อมไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59
of 6