คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกาไม่ชอบ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 95 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่อมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(3) จึงต้องแสดงให้แจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยต้องมีข้อโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อฎีกาโจทก์บรรยายเพียงว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาอย่างไร แต่มิได้บรรยายว่าคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาอย่างไร กรณีจึงไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์หรือไม่ทั้งฎีกาโจทก์มีข้อความว่า "ด้วยความเคารพต่อศาลชั้นต้น โจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังคลาดเคลื่อน โจทก์ขอประทานกราบเรียนศาลที่เคารพโปรดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น" ดังนี้ฎีกาโจทก์มิได้เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากแต่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฟ้องฎีกาโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบมาตรา 246,247 และพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 153

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1536/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเมื่อมิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แต่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำฟ้องฎีกาเป็นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 1(13) จึงต้องแสดงให้แจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยต้องมีข้อโต้แย้งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เมื่อฎีกาโจทก์บรรยายเพียงว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาอย่างไร แต่มิได้บรรยายว่าคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาอย่างไร กรณีจึงไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่โจทก์ยกขึ้นฎีกาได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลอุทธรณ์หรือไม่ทั้งฎีกาโจทก์มีข้อความว่า "ด้วยความเคารพต่อศาลชั้นต้น โจทก์เห็นว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นยังคลาดเคลื่อน โจทก์ขอประทานกราบเรียนศาลที่เคารพโปรดพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น" ดังนี้ฎีกาโจทก์มิได้เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากแต่เป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฟ้องฎีกาโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ประกอบมาตรา 246,247 และพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 153

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4135/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญา มาตรา 188 และการฎีกาที่ไม่ชอบ
คดีสำหรับจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 2เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเอาความเท็จมากล่าวอ้างกับโจทก์ว่า โจทก์เป็นหนี้ค่าโฆษณาสินค้าแก่บริษัท ม.โจทก์หลงเชื่อจึงได้ออกเช็คมอบให้จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปชำระหนี้ให้บริษัท ม. แต่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำเช็คดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินเป็นของจำเลยที่ 1 พอเข้าใจได้ว่า จำเลยที่ 1 หลอกลวงโจทก์โจทก์หลงเชื่อจึงได้ออกเช็คชำระหนี้ให้แก่บริษัท ม. โดยมอบเช็คให้แก่จำเลยที่ 1 เพื่อนำไปมอบให้บริษัท ม. แต่จำเลยที่ 1 ได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินเป็นของจำเลยที่ 1 เสียเอง เป็นการบรรยายว่าจำเลยที่ 1 เอาไปเสียซึ่งเช็คของโจทก์ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188 แล้ว ฟ้องของโจทก์จึงสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3723/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และการกำหนดค่าเสียหายที่เหมาะสมจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
เหตุละเมิดคดีนี้ศาลแขวงสงขลาได้มีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 2 ในข้อหาว่าขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส คดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งแม้กรณีจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ให้ศาลที่พิจารณาคดีส่วนแพ่งจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวก็ไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1นายจ้าง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่มิได้ถูกฟ้องคดีอาญานั้นด้วย จำเลยที่ 1 ยังอาจยกข้อต่อสู้และนำสืบในคดีนี้ได้ว่าจำเลยที่ 2มิได้เป็นฝ่ายทำละเมิดต่อโจทก์หากแต่โจทก์ที่ 1 เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเองหรือมีส่วนประมาทร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยขออ้างเอาคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1มาให้ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยอีกครั้งหนึ่ง แต่มิได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 โดยชัดแจ้งว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายไม่ถูกต้องอย่างไรหรือวินิจฉัยอย่างไรจึงจะถูกต้อง กลับมาให้ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในคำฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก โจทก์ที่ 1 ได้รับบาดเจ็บที่เปลือกตาบนด้านซ้ายมือมีอาการบวมของประสาทตาส่วนกลางและมีเลือดออก ทำให้ประสาทตาส่วนกลางเสื่อมสมรรถภาพลง ต้องได้รับการดูแลจากจักษุแพทย์ตลอดชีวิตเนื่องจากอาจเกิดอาการแทรกซ้อนในภายหลัง โจทก์ที่ 2 ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลฉีกขาดที่นิ้วหัวแม่มือด้านขวา เอ็นและเส้นประสาทที่นิ้วหัวแม่มือขาดแพทย์ได้ทำการผ่าตัดต่อเส้นเอ็นได้แต่ต่อเส้นประสาทไม่ได้เพราะขนาดเล็กมาก หลังผ่าตัดแล้วนิ้วหัวแม่มือของโจทก์ที่ 2 งอติดกับข้อกางได้เพียง 60 องศา ซึ่งการที่โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บดังกล่าว โจทก์ทั้งสองเป็นจักษุแพทย์ไม่สามารถทำงานละเอียดเช่นการผ่าตัดประสาทหูชั้นในและเยื่อฟังผืดใกล้จอประสาทตาได้ ดังนั้นโจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายที่ไม่สามารถประกอบการงานในปัจจุบันและอนาคตได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 221/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากผู้คัดค้านไม่ได้โต้แย้งประเด็นคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์อย่างชัดเจน
คดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าข้ออ้างของผู้คัดค้านไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านฎีกาโดยมิได้กล่าวอ้างว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ชอบอย่างไร คงกล่าวมาในฎีกาเพียงว่า ทรัพย์ที่ผู้ร้องอ้างว่าเป็นของผู้ตายนั้น ผู้ตายได้ยกให้ผู้คัดค้านแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่รับวินิจฉัยโดยให้เหตุผลว่าไม่เป็นประเด็นแห่งคดีที่ผู้ร้องร้องขอมา ผู้คัดค้านก็มิได้ฎีกาว่าปัญหาที่ยกขึ้นมานั้นจะเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีหรือไม่ อย่างไร ถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยชัดแจ้งตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกบัญญัติไว้ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1524/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากประเด็นที่ยกขึ้นในชั้นฎีกา ไม่เคยถูกวินิจฉัยในศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
ที่โจทก์ฎีกาว่า ปลัดอำเภอไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมือง เจ้ามรดกไม่มีเจตนาทำพินัยกรรม พินัยกรรมจึงเป็นโมฆะนั้น แม้โจทก์จะได้เคยยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ เพราะเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ ซึ่งมีผลเท่ากับ โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบหลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นจึงมีอำนาจดำเนินคดี
จำเลยยื่นฎีกาด้วยตนเองภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบตั้งแต่แรก แม้คดีล้มละลายจะอยู่ในระหว่างจำเลยขอพิจารณาใหม่ ซึ่งไม่ว่าศาลจะอนุญาตให้พิจารณาใหม่ในภายหลังหรือไม่ก็ตาม ก็มิอาจลบล้างกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบดังกล่าวได้ และปัญหานี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1507/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบหลังศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด อำนาจฟ้องเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของจำเลยที่ 3 ก่อนจำเลยที่ 3 ยื่นฎีกา จำเลยที่ 3ถูกศาลชั้นต้นสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย ดังนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22,25 ย่อมเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะเข้าว่าคดีและยื่นฎีกาแทนจำเลยที่ 3 การที่จำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาด้วยตนเองภายหลังถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ภายหลังจำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาคดีนี้แล้ว จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีล้มละลายใหม่ กับยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีการอฟังผลการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีล้มละลายใหม่นั้น แม้หากภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีล้มละลายใหม่ตามคำร้องของจำเลยที่ 3 ก็มีผลเพียงลบล้างคำพิพากษาและกระบวนพิจารณาในคดีล้มละลายดังกล่าวเท่านั้น หาได้ลบล้างกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบในคดีนี้ด้วย จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องรอฟังผลการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีล้มละลายใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1308/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากทนายไม่มีอำนาจ และไม่แก้ไขข้อบกพร่องตามคำสั่งศาล
ฎีกาของจำเลยมี อ.ลงชื่อเป็นผู้ยื่นฎีกาในฐานะทนายของจำเลยโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้แต่งตั้งให้ อ.เป็นทนายของตน และเมื่อศาลฎีกาได้ส่งสำนวนกลับคืนมายังศาลชั้นต้นเพื่อสั่งให้ อ.จัดการแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องทนายให้ถูกต้องภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจำเลยทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วหาได้จัดการแก้ไขแต่อย่างใดไม่ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6340/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบเนื่องจากจำเลยเปลี่ยนคำให้การในชั้นฎีกา โต้แย้งข้อเท็จจริงใหม่ที่ไม่เคยยกขึ้นในศาลอุทธรณ์
ชั้นอุทธรณ์ จำเลยอ้างว่าที่ศาลชั้นต้นงดชี้สองสถานและงดสืบพยานเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยให้การมีประเด็นว่านิติกรรมซื้อขายที่ดินที่โจทก์จำเลยทำต่อ เจ้าพนักงานที่ดินมีเจตนาหลอกลวงเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้เสียค่าธรรมเนียมและภาษีน้อยลงขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน มูลหนี้ตามเช็คจึงเป็นโมฆะแต่ในชั้นฎีกาจำเลยกลับอ้างว่าคำให้การจำเลยมีประเด็นว่าจำเลยชำระราคาที่ดินให้โจทก์ครบถ้วน โดยที่ดินราคาเพียง 350,000 บาทเช็คพิพาทสั่งจ่ายเงิน 650,000 บาท จำนวนที่เกินไป 300,000 บาทเป็นการนำเอาค่านายหน้าและดอกเบี้ยในอัตราที่เกินกฎหมายกำหนดมารวมเข้าด้วย คำให้การจำเลยจึงชัดเจนแล้ว เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249
of 10