พบผลลัพธ์ทั้งหมด 233 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4521/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการชักอาวุธจ้องยิง แม้พลาดเป้าแต่เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
การที่จำเลยชักอาวุธปืนออกมาแล้วจ้องไปทางโจทก์ร่วมโดยนิ้วมือของจำเลยอยู่ที่ไกปืนพร้อมที่จะยิงได้ทันที แสดงว่าจำเลยมีเจตนาจะฆ่าโจทก์ร่วมหากแต่ผู้ตายเข้าแย่งอาวุธปืนจากมือของจำเลยเสียในทันใด กระสุนปืนที่ออกจากลำกล้องจึงเฉไปไม่ถูกโจทก์ร่วมถือได้ว่ากระสุนปืนที่ลั่นพลาดไปถูกผู้ตายจนถึงแก่ความตายนั้น จำเลยได้กระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตายตาม ป.อ. มาตรา 60 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา288 ประกอบด้วยมาตรา 60 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถยนต์ ชนรถจักรยานยนต์ ผู้ตายจอดรอข้ามถนน ศาลลงโทษฐานประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังโดยเร่งความเร็วแซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายเป็นผู้ขับโดยมิได้ให้สัญญาณเตือนขณะนั้นมีรถยนต์ขับสวนมาจำเลยไม่สามารถขับรถยนต์แซงรถจักรยานยนต์ของผู้ตายได้พ้นจำเลยบังคับรถยนต์ของตนหลบรถยนต์ที่แล่นสวนทางมาเป็นเหตุให้รถยนต์ของจำเลยเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับแต่ในชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบว่าผู้ตายจอดรถจักรยานยนต์อยู่ที่ริมถนนด้านซ้ายมือเพื่อจะข้ามถนนไปเติมน้ำมันข้อแตกต่างดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดไม่ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญทั้งจำเลยก็ให้การปฏิเสธลอยๆจึงมิได้หลงต่อสู้ศาลย่อมลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10188/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินกว่ากรณีจำต้อง การทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย
จำเลยและผู้ตายต่างเป็นบุตร ค. ขณะที่ ค.นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในบ้าน ผู้ตายมาขอเงินไปเที่ยว ค.จะให้เพียง ๓๐ บาท ผู้ตายแสดงอาการไม่พอใจชกกระจกตู้เสื้อผ้าแตกแล้วตรงเข้าบีบคอ ค. ค.ตะโกนให้คนช่วย จำเลยได้ยินจึงขึ้นมาบนบ้าน บอกให้ผู้ตายปล่อย ค. แต่ผู้ตายกลับชกต่อยจำเลย จำเลยตกใจกลัวจะมีภัยถึงตนและ ค. จึงใช้ไม้ตีป้องกันตัวไป ๒ ครั้ง ทำให้ผู้ตายหมดสตินอนนิ่งจำเลยลากผู้ตายไปที่กระบะพ่วงท้ายรถไถนาเพื่อส่งแพทย์ เมื่อผู้ตายคืนสติจะลงจากกระบะท้ายรถและตะโกนว่าจะฆ่าล้างโคตร จำเลยก็ใช้ไม้ท่อนอันใหญ่ตีผู้ตายอีก๒ ครั้ง ผู้ตายล้มถึงแก่ความตาย ดังนี้ ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่เกิดแก่ ค.มารดาจำเลย คือ ค.ถูกผู้ตายบีบคอยังหาได้ผ่านพ้นไปไม่เนื่องจากผู้ตายสลบ เมื่อผู้ตายฟื้นคืนสติขึ้นมาก็พูดทันทีว่า "ไอ้ห่าจะฆ่าทั้งแม่ทั้งลูกเลย"อันแสดงให้เห็นเจตนาของผู้ตายที่ยังมีเจตนาเดิมอยู่ ดังนั้น การที่จำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายขณะนั้นจึงเป็นการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของมารดาจำเลยและตัวจำเลยเองแต่การที่จำเลยใช้ไม้ตีที่ศีรษะผู้ตายโดยแรงในขณะที่ผู้ตายเมาสุรา เห็นได้ว่าขณะนั้นผู้ตายไม่มีสภาพทางร่างกายที่จะเป็นอันตรายแก่บุคคลใดได้ และจำเลยในขณะนั้นแข็งแรงกว่าผู้ตายมาก จึงน่าจะมีวิธีการอื่นที่ดีกว่าที่จำเลยใช้ไม้ตีผู้ตายโดยแรงที่ศีรษะจนผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
จำเลยเป็นพี่ชายผู้ตาย ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน เหตุที่เกิดคดีนี้ขึ้นก็เนื่องจากผู้ตายก่อเหตุขึ้นก่อน จำเลยจึงเข้าไปช่วยมารดาเพื่อให้พ้นภยันตรายขณะผู้ตายสลบ จำเลยยังมีเจตนาที่จะช่วยผู้ตายโดยจะพาไปส่งโรงพยาบาล แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยอย่างแท้จริงว่าไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย และที่จำเลยตีผู้ตายอีกครั้งหลังจากที่ผู้ตายฟื้นคืนสติขึ้นมาก็น่าจะมีเจตนาทำร้ายไม่ให้ผู้ตายไปก่อเหตุร้ายขึ้นอีกเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเท่านั้น
จำเลยเป็นพี่ชายผู้ตาย ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน เหตุที่เกิดคดีนี้ขึ้นก็เนื่องจากผู้ตายก่อเหตุขึ้นก่อน จำเลยจึงเข้าไปช่วยมารดาเพื่อให้พ้นภยันตรายขณะผู้ตายสลบ จำเลยยังมีเจตนาที่จะช่วยผู้ตายโดยจะพาไปส่งโรงพยาบาล แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยอย่างแท้จริงว่าไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย และที่จำเลยตีผู้ตายอีกครั้งหลังจากที่ผู้ตายฟื้นคืนสติขึ้นมาก็น่าจะมีเจตนาทำร้ายไม่ให้ผู้ตายไปก่อเหตุร้ายขึ้นอีกเมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4919/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประสบอันตรายจากการทำงาน: เริ่มทำงานแล้ว แม้ยังไม่ถึงที่หมาย ก็ถือว่าประสบอันตรายได้
ลูกจ้างออกเดินทางจากบ้านพักของลูกจ้างเพื่อไปเก็บเงินจากลูกค้าตามคำสั่งของนายจ้างและประสบอุบัติเหตุขณะเดินทางแสดงอยู่ในตัวว่าลักษณะการทำงานของลูกจ้างในวันเกิดเหตุลูกจ้างไม่ต้องเข้าไปยังที่ทำงานของลูกจ้างและกระทำกิจอื่นแต่ลูกจ้างออกจากบ้านพักตรงไปบ้านลูกค้าเพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายย่อมชี้ให้เห็นว่าลูกจ้างได้เริ่มลงมือทำงานแล้วแต่ยังไม่ถึงที่หมายกรณีไม่จำต้องปฏิบัติหน้าที่ถึงขนาดที่ลูกจ้างจะต้องเดินทางไปถึงที่หมายและเริ่มลงมือเก็บเงินจากลูกค้าจริงๆถือว่าลูกจ้างได้ประสบอันตรายโดยถึงแก่ความตายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างแล้วภริยาของลูกจ้างจึงมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากกองทุนเงินทดแทนตามกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1748/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายด้วยของแข็ง: การทุ่มแผ่นซีเมนต์จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยถีบผู้ตายตกลงไปในแม่น้ำแล้วใช้แผ่นซีเมนต์ ยาว 1 ฟุตกว้าง 10 นิ้ว หนา 2 นิ้ว ทุ่มลงไปบนศีรษะผู้ตายในระยะใกล้ในขณะที่ผู้ตายกำลังจะปีนขึ้นมาบนฝั่ง แผ่นซีเมนต์ถูกศีรษะผู้ตายอย่างแรง เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บถึงหมดสติจมน้ำตาย แม้บาดแผลภายนอกจะเป็นแผลถลอกที่ศีรษะและแพทย์ให้ความเห็นว่า ผู้ตายจมน้ำตายก็ตาม แต่การตายเกิดจากการทำร้ายของจำเลยโดยตรงแผ่นซีเมนต์มีขนาดใหญ่และแข็งมาก จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า การทุ่มแผ่นซีเมนต์ดังกล่าวลงไปบนศีรษะจะทำให้ผู้ตายได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บและตายได้หากไม่ได้รับการช่วยเหลือหรือรักษาทันท่วงที การกระทำของจำเลยจึงถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย ไม่ใช่มีเพียงเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 85/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวการร่วมทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย แม้ไม่ได้ใช้ อาวุธเอง ก็ต้องรับผิด
จำเลยร่วมกับ จ. ทำร้ายผู้ตายและหลบหนีไปด้วยกัน แม้จำเลยไม่ทราบว่า จ. มีอาวุธมีดติดตัว และไม่ได้ร่วมใช้อาวุธทำร้ายผู้ตายด้วย จำเลยก็ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรกซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษได้ เพราะการกระทำเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาที่โจทก์ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3759/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวเกินกว่าเหตุ: การใช้มีดแทงจนถึงแก่ความตายหลังป้องกันตัวได้แล้ว
จำเลยและผู้ตายรู้จักและเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกันอย่างร้ายแรงจนถึงกับเป็นเหตุให้ผู้ตายติดจะฆ่าจำเลย และการที่ผู้ตายใช้ไม้ยาว 1 ศอก ตีจำเลย1 ที แต่ไม่ถูก เพราะจำเลยยกเก้าอี้ขึ้นรับไว้ แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งชักมีดปลายแหลมยาว 1 คืบ จากเอวแทงถูกบริเวณหน้าอกซ้ายของผู้ตายโดยแรง 1 ที แสดงว่าก่อนที่จำเลยจะใช้มีดแทงจำเลยสามารถป้องกันภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายของผู้ตายได้ในระดับหนึ่งแล้ว หากจำเลยใช้เก้าอี้ป้องกันตัวต่อไปก็สามารถป้องกันภยันตรายได้ ดังนั้น การที่จำเลยชักมีดออกแทงผู้ตายบริเวณหน้าอกด้านซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและแทงโดยแรงจนมีดเข้าไปถึงช่องหัวใจ เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2723/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์ทำให้ถึงแก่ความตาย ความรับผิดทางอาญา
จำเลยชิงทรัพย์ผู้ตายโดยใช้กำลังประทุษร้าย แพทย์ตรวจบาดแผลในชั้นแรกระบุว่ามีบาดแผลที่หางคิ้ว ศีรษะด้านหน้า โคนลิ้นด้านล่างแขนซ้ายบวมช้ำแดง สมองได้รับการกระทบกระเทือนเล็กน้อย รักษาตัวในโรงพยาบาล 37 วัน แล้วถึงแก่ความตาย ระหว่างนั้นไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้รับอุบัตเหตุเพิ่มเติม แพทย์ตรวจชันสูตรพลิกศพพบว่าซี่โครงหัก 6 ซี่ มีน้ำในช่องปอดระบุว่าผู้ตายถูกทำร้ายได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง และลำตัวบอบช้ำมากเชื่อได้ว่าเกิดจากการทำร้ายของจำเลย ประกอบกับชราภาพอาการบาดเจ็บทรุดหนักทำการรักษาลำบาก หากชราภาพและไม่ได้รับการกระทบกระเทือนก็จะไม่ตาย ดังนี้ เห็นได้ว่าการตายเป็นผลจากการประทุษร้ายของจำเลยซึ่งเป็นผลที่ตามธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้ ตาม ป.อาญา มาตรา 63 จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2159/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีเมื่อคู่ความถึงแก่ความตาย - การเข้ามาเป็นคู่ความแทน
ในกรณีที่คู่ความตายในระหว่างอุทธรณ์ คดีจะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ก็ต่อเมื่อมีบุคคลเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ และศาลจะต้องมีคำสั่งในการที่จะเข้ามาเป็นคู่ความแทนตามนัยมาตรา 42, 44 แห่ง ป.วิ.พ.ก่อน การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปโดยมิได้ดำเนินการดังกล่าว เป็นการไม่ชอบเพราะมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการพิจารณา ตามมาตรา243 (2) ประกอบมาตรา 247 ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4969/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: การพิจารณาเจตนาและเหตุแห่งการกระทำ
ผู้ตายบอกแก่ภรรยาว่าถูกจำเลยใช้มีดพร้าตีที่ศีรษะ ขณะนั้นยังมีสติและพูดคุยกับภรรยาได้ประมาณ 2-3 นาที ผู้ตายจึงบอกให้ภรรยานำผู้ตายส่งโรงพยาบาล เนื่องจากผู้ตายคงรู้อาการของตัวเองว่าหนักมากต้องการที่จะไปพบแพทย์เพื่อให้ช่วยเหลือ แสดงว่าผู้ตายคงรู้ตัวว่าอาการของตนน่าจะถึงแก่ความตายได้ ถ้อยคำของผู้ตายที่บอกแก่ภรรยาจึงรับฟังได้ จำเลยใช้มีดพร้าตีศีรษะผู้ตายเพียงครั้งเดียวโดยแรง เนื่องจากโกรธที่ผู้ตายหาบหญ้ามาโดนศีรษะเมื่อปรากฏว่าจำเลยใช้สันมีดพร้าตีแสดงว่าจำเลยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้ตายเท่านั้น แต่เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา290 วรรคหนึ่ง