คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ปฏิบัติตาม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 96 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3865/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเรื่องการส่งสำเนาคำฟ้องและหมายนัด การนับระยะเวลาตามคำสั่งศาล
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำฟ้องว่านัดไต่สวนมูลฟ้องให้โจทก์นำส่งสำเนาคำฟ้องและหมายนัดให้จำเลยส่งไม่ได้ให้แถลงภายใน7วันมิฉะนั้นถือว่าทิ้งฟ้องกำหนด7วันดังกล่าวแม้จะไม่ระบุให้ชัดว่านับแต่วันใดก็มีความหมายชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่าในแถลงใน7วันนับแต่วันส่งสำเนาคำฟ้องและหมายนัดไม่ได้หาใช่นับแต่วันที่เจ้าพนักงานเดินหมายรายงานผลการส่งหมายต่อศาลไม่เมื่อโจทก์ไม่แถลงต่อศาลใน7วันนับแต่วันส่งไม่ได้ตามคำสั่งศาลจึงเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้จำหน่ายคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา132(1)ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2701/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีตามคำพิพากษา ศาลมีอำนาจสั่งให้ถือคำพิพากษาแทนเจตนาจำเลยได้หากไม่ปฏิบัติตาม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่เหลือแก่จำเลย หากจำเลยไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ก็ให้คืนเงินมัดจำกับค่าเสียหายแก่โจทก์ดังนั้น ในการบังคับคดีจำเลยจึงต้องปฏิบัติการชำระหนี้ต่อโจทก์ตามลำดับของคำพิพากษา โดยจำเลยต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ก่อน จำเลยจะเลือกวิธีการคืนเงินมัดจำกับชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งที่จำเลยยังสามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้โดยโจทก์ไม่ตกลงด้วยหาได้ไม่ เมื่อศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามคำของโจทก์ซึ่งขอให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา หากจำเลยไม่ปฏิบัติก็ให้โจทก์บังคับคดีได้ทันที และให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจที่จะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยได้ เพราะเป็นคำสั่งเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีเพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นกรณีจึงมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งในเวลาที่ออกคำบังคับด้วยว่า หากจำเลยไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และมิใช่เป็นเรื่องแก้ไขเพิ่มเติมคำพิพากษา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4672/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยินยอมให้เลือกที่ดินก่อน ไม่ขัดขวางการแบ่งแยกตามคำพิพากษา จำเลยต้องปฏิบัติตาม
เมื่อโจทก์ยินยอมให้จำเลยเลือกส่วนของที่ดินที่แบ่งแยกแล้วได้ก่อนกรณีจึงถือไม่ได้ว่าการแบ่งแยกที่ดินพิพาทไม่อาจกระทำได้ตามคำพิพากษา ซึ่งกำหนดให้จำเลยไปจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง จำเลยจึงมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดในการฎีกา: ประเด็นใหม่นอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัย และการอ้างเหตุปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุให้ชัดว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นข้อที่จำเลยที่ 1 มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับพิพาทไม่เป็นโมฆียะ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าว คงอุทธรณ์แต่เพียงว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่สามารถบังคับจำเลยที่ 2 ได้เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญา และคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่สามารถบังคับเอากับจำเลยทั้งสองได้เท่านั้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อที่ว่ากล่าวมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยทั้งสองสร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินโจทก์ โจทก์จึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโท พ. ร้อยตำรวจโท พ.เรียกจำเลยทั้งสองไปไกล่เกลี่ย จำเลยที่ 1 ตกลงยินยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าจะรื้อรั้วที่รุกล้ำและทำรางน้ำรับหลังคาบ้านที่รุกล้ำเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ.มาตรา 850 และรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 สร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์จริง
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 พร้อมที่จะรื้อถอนรั้วและหลังคาบ้านออกไปจากที่ดินโจทก์ตามคำพิพากษา แต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในรั้วและหลังคาบ้านดังกล่าวไม่ยินยอม โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2ไม่จำต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และคดีของจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ เพราะหากขืนปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจำเลยที่ 2 มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดได้ เมื่อข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไร เพียงแต่อ้างว่าปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2429/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามคำสั่งศาล: การแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งภายในกำหนดเวลา แม้จะยืดยาวแต่ยังอ่านเข้าใจได้
จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับไว้แล้วคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นเห็นว่าเยิ่นเย้อ และสับสน มีคำสั่งให้จำเลยทำรวมเป็นฉบับเดียวกันใน 15 วันจำเลยได้ทำคำให้การและฟ้องแย้งยื่นมาใหม่ภายในกำหนด ถือได้ว่าจำเลยปฏิบัติตามเงื่อนไขและกำหนดเวลาที่ศาลชั้นต้นสั่งแล้วแม้คำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยที่ยื่นมาใหม่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแล้วจะยืดยาวแต่สามารถอ่านเข้าใจได้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะรับคำให้การและฟ้องแย้งของจำเลยไว้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2170/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงประเด็นข้อพิพาทในคดีแรงงาน: ศาลต้องปฏิบัติตามข้อตกลงหากฟังข้อเท็จจริงตามที่ตกลงกัน
ผู้ร้องและผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างท้ากันในศาลแรงงานกลางว่า หากศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านมีหน้าที่ทำเพชรดิบให้เข้ารูปและมีหน้าที่ซ่อมแซมเพชรที่แผนกอื่นทำบกพร่องและไม่สามารถแก้ไขด้วยตนเองได้แล้วให้เข้ารูปอีกครั้งแล้วส่งไปยังแผนกอื่นต่อไป ให้ถือว่าผู้คัดค้านกระทำผิดตามคำร้องทุกประการ ผู้คัดค้านยอมแพ้ และให้ศาลพิพากษาให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้ตามคำร้อง เป็นการที่คู่ความตกลงกันกำหนดประเด็นเสนอศาลเพื่อให้กระบวนพิจารณาคดีเป็นไปโดย รวดเร็วซึ่งศาลแรงงานกลางมีอำนาจกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138,183 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 เมื่อศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้คัดค้านมีหน้าที่ตรงตามคำท้าจึงต้องถือตามคำท้าว่าผู้คัดค้านกระทำผิดตามคำร้อง โดย ผู้คัดค้านฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันเป็นกรณีร้ายแรงและจงใจขัดคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้องตามคำร้อง และต้องถือตามคำท้าต่อไปว่าผู้คัดค้านยอมแพ้ ศาลแรงงานกลางต้องพิพากษาอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1325/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำท้าต่อการดำเนินคดี: ศาลต้องให้ปฏิบัติตามคำท้าก่อนพิจารณาประเด็นอื่น หากไม่ปฏิบัติตามถือเป็นเหตุแพ้คดี
คู่ความทั้งสองฝ่ายท้ากันให้ไปดื่มน้ำสาบาน โดยโจทก์ทั้งสองกับจำเลยทั้งสี่จะต้องสาบานตัวทุกคนตามที่กำหนด หากเป็นไปดังคำท้าทั้งสองฝ่ายจะแบ่งที่ดิน น.ส. 3 ที่พิพาทกันฝ่ายละกึ่งหนึ่งไม่ติดใจเรียกร้องอะไรกันอีก แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่กล้าสาบานหรือสาบานตัวไม่ครบทุกคน ถือว่า ฝ่ายนั้นแพ้คดี ไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องอะไรในที่พิพาทอีก ในวันนัดพร้อมเพื่อไปสาบานตัว โจทก์ทั้งสองและทนายกับจำเลยทั้งสี่และทนายมาศาล จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4แถลงว่าวันที่ตกลงท้ากันตนไม่ได้มาศาลมิได้ยินยอมด้วย ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เป็นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 กระทำต่อศาล หาใช่กรณีจำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 4 ตกลงขอยกเลิกคำท้าต่อโจทก์ทั้งสองเปลี่ยนเป็นให้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างธรรมดาไม่ การที่ทนายโจทก์แถลงไม่คัดค้านคำแถลงของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ก็เนื่องจากข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ 1 ที่ 2ที่ 4 แถลงเป็นความจริง ไม่มีอะไรจะต้องคัดค้าน ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำท้าไม่มีผลบังคับจึงให้ดำเนินกระบวนพิจารณานัดสืบพยานโจทก์ต่อไป ไม่ได้ให้คู่ความปฏิบัติตามคำท้า เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง การที่ฝ่ายโจทก์ไม่คัดค้านจะถือว่าตกลงยินยอมยกเลิกคำท้ากับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 หาได้ไม่คำท้ายังมีผลผูกพันคู่ความอยู่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าคู่ความยังมิได้ปฏิบัติตามคำท้า สมควรที่จะต้องยกคำพิพากษาและคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วกำหนดให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้เป็นไปตามคำท้า และพิพากษาคดีไปตามนั้น ที่จำเลยทั้งสี่ฎีกาว่า จำเลยทั้งสี่มิได้คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ในระยะเวลาอันสมควรจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์และฎีกานั้นเมื่อจำเลยทั้งสี่มิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างไว้ในคำแก้อุทธรณ์ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามคำท้าสาบาน: การพิสูจน์ความครบถ้วนและการอนุญาตเลื่อนนัด
ตามรายงานกระบวนการพิจารณาของศาลชั้นต้นได้จดวันนัดสาบานไว้สองวันแต่มิได้กำหนดว่าจะต้องทำให้เสร็จตามวันเวลานัดทั้งสองวันนั้นอันจะถือว่าเป็นข้อแพ้ชนะกัน ข้อที่จะถือให้เป็นข้อแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องข้อความที่จะต้องสาบานและวัดที่กำหนดไว้ ดังนั้นการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนสาบานไปหลังจากวันที่กำหนดโดยไม่ใช่เกิดจากความผิดของฝ่ายโจทก์ จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงหาได้ไม่ ไม่ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลว่ามีข้อตกลงจะต้องสาบานตามประเพณีท้องถิ่นคือโจทก์นำสาบานและให้เจ้าอาวาสเป็นผู้ทำพิธี และดื่ม น้ำสาบาน ข้อตกลงท้ากันมีเพียงว่าให้สาบานต่อหน้าวัดทั้งเจ็ดวัดเท่านั้น เมื่อโจทก์ได้ไปสาบานต่อหน้าวัดจนครบทุกวัดตามที่กำหนดไว้แล้วถือได้ว่าฝ่ายโจทก์ปฏิบัติตามคำท้าครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 90/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามข้อตกลงท้าคดี: การสาบานต่อหน้าวัด และผลของการไม่ปฏิบัติตาม
โจทก์และจำเลยตกลงท้ากันว่า ถ้าโจทก์ทั้งสามและ ผ. ยอมสาบานต่อหน้าวัดทั้งเจ็ดวัดที่กำหนด จำเลยยอมแพ้คดี ศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณานัดสาบานไว้สองวัน แต่มิได้กำหนดว่าต้องสาบานให้เสร็จตามวันเวลานัดทั้งสองวัน อันจะถือว่าเป็นข้อแพ้ชนะกัน การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนสาบานไปหลังจากที่กำหนด โดยไม่ใช่เกิดจากความผิดของฝ่ายโจทก์ จะถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดข้อตกลงหาได้ไม่ เพราะข้อที่จะถือให้เป็นข้อแพ้ชนะนั้นเป็นเรื่องข้อความที่จะต้องสาบานและวัดที่กำหนดไว้ เมื่อโจทก์ทั้งสามและ ผ.ได้สาบานต่อหน้าวัดจนครบทุกวัดตามที่กำหนดไว้แล้ว ถือว่าฝ่ายโจทก์ได้ปฏิบัติตามคำท้าครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2316/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขายทอดตลาดและการปฏิบัติตามคำสั่งอธิบดีกรมบังคับคดี ถือเป็นการขายที่ชอบด้วยกฎหมาย
ระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดี พ.ศ. 2522 ข้อ 83มีข้อความว่า "ตามปกติ" แสดงว่าระเบียบนี้มิได้บังคับตายตัวอาจจะตกลงหรือมีคำสั่งอันเป็นที่รับรู้กันแล้วปฏิบัตินอกเหนือไปได้และได้มีคำสั่งของอธิบดีกรมบังคับคดีตั้งแต่ พ.ศ. 2530 ว่า ในการขายทอดตลาดให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนับหนึ่งถึงสอง แล้วนำเสนอรองอธิบดีเพื่อมีคำสั่งอนุมัติให้ขายตามราคาที่มีผู้ประมูลสูงสุดหรือไม่ เมื่อมีคำสั่งประการใดให้ถือว่าเป็นเด็ดขาด ในกรณีรองอธิบดีกรมบังคับคดีมีคำสั่งอนุมัติให้ขาย เจ้าพนักงานบังคับคดีจะนับสามและเคาะไม้โดยไม่เปิดโอกาสให้มีการสู้ราคากันอีกทั้งก่อนที่จะขายทอดตลาดที่ดินรายพิพาท เจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งให้ผู้ประมูลซื้อที่ดินรวมทั้งโจทก์และผู้คัดค้านทราบคำสั่งของอธิบดีกรมบังคับคดีเกี่ยวกับการขายทอดตลาดแล้ว คำสั่งของอธิบดีกรมบังคับคดีดังกล่าวจึงเป็นคำโฆษณาบอกขายหรือข้อความอื่น ๆซึ่งผู้ขายทอดตลาดได้แถลงก่อนเผดิมการขายทรัพย์เฉพาะรายตามนัยแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 510 ผู้ซื้อในการขายทอดตลาดย่อมต้องทำตามคำสั่งดังกล่าวด้วย.
of 10