พบผลลัพธ์ทั้งหมด 64 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพนักงานรัฐ ปลอมเอกสารสิทธิ และปฏิบัติหน้าที่มิชอบ กรณีสถานธนานุเคราะห์
จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานในหน่วยงานของรัฐ โดยเป็นเสมียนสถานธนานุเคราะห์สังกัดกรมประชาสงเคราะห์ มีหน้าที่เขียนตั๋วรับจำนำ จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือของตนในตั๋วรับจำนำซึ่งมีชื่อผู้อื่นเป็นผู้จำนำ แสดงออกว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้จำนำ มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ
พฤติการณ์ซึ่งจำเลยที่ 2 ปลอมตั๋วรับจำนำ แสดงว่ามีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานธนานุเคราะห์กรมประชาสงเคราะห์ จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 อีกบทหนึ่งด้วย
คดีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 พนักงานอัยการไม่มีสิทธิขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แทนผู้เสียหาย
พฤติการณ์ซึ่งจำเลยที่ 2 ปลอมตั๋วรับจำนำ แสดงว่ามีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานธนานุเคราะห์กรมประชาสงเคราะห์ จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 อีกบทหนึ่งด้วย
คดีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 11 พนักงานอัยการไม่มีสิทธิขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แทนผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพนักงานรัฐ ปลอมเอกสารสิทธิ-ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ แม้ไม่มีหลักฐานยักยอกทรัพย์
จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานในหน่วยงานของรัฐ โดยเป็นเสมียนสถานธนานุเคราะห์สังกัดกรมประชาสงเคราะห์ มีหน้าที่เขียนตั๋วรับจำนำ จำเลยที่ 2 พิมพ์ลายนิ้วมือของตนในตั๋วรับจำนำ ซึ่งมีชื่อผู้อื่นเป็นผู้จำนำ แสดงออกว่าเป็นลายพิมพ์นิ้วมือของผู้จำนำ มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ
พฤติการณ์ซึ่งจำเลยที่ 2 ปลอมตั๋วรับจำนำ แสดงว่ามีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานธนานุเคราะห์กรมประชาสงเคราะห์ จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ.2502 อีกบทหนึ่งด้วย
คดีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502มาตรา 11 พนักงานอัยการไม่มีสิทธิขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แทนผู้เสียหาย
พฤติการณ์ซึ่งจำเลยที่ 2 ปลอมตั๋วรับจำนำ แสดงว่ามีเจตนาทุจริต การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สำนักงานธนานุเคราะห์กรมประชาสงเคราะห์ จึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐพ.ศ.2502 อีกบทหนึ่งด้วย
คดีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502มาตรา 11 พนักงานอัยการไม่มีสิทธิขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์แทนผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3073/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญา มาตรา 157 ต้องระบุเจตนาทำให้เสียหาย และการใส่ความต้องมีลักษณะเป็นการหมิ่นประมาท
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 แต่มิได้บรรยายฟ้องว่า การที่จำเลยปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบนั้น จำเลยกระทำลงด้วยเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ อันเป็นองค์ประกอบความผิดประการหนึ่งด้วย คำฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับ ข้อหานี้จึงไม่สมบูรณ์ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
แม้ข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ผิดพลาดไม่ถูกต้อง แต่ข้อความนั้นก็ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ที่จำเลยกล่าวถึง วัว ควายและช้าง ก็กล่าวในทำนองเปรียบเทียบว่า โจทก์จะร้องเรียน ให้ความจริงเป็นอย่างอื่นย่อมเป็นไปไม่ได้เท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการ หมิ่นประมาทโจทก์
แม้ข้อความที่จำเลยให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ผิดพลาดไม่ถูกต้อง แต่ข้อความนั้นก็ไม่มีลักษณะเป็นการใส่ความโจทก์ที่จำเลยกล่าวถึง วัว ควายและช้าง ก็กล่าวในทำนองเปรียบเทียบว่า โจทก์จะร้องเรียน ให้ความจริงเป็นอย่างอื่นย่อมเป็นไปไม่ได้เท่านั้น ถือไม่ได้ว่าเป็นการ หมิ่นประมาทโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2040/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยปฏิบัติหน้าที่จัดซื้อที่ดินโดยมิชอบหรือไม่ มีส่วนได้เสียเพื่อตนเองหรือผู้อื่นหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาพยานหลักฐานและวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีความผิด
เมื่ออธิบดีกรมอัยการชี้ขาดให้ฟ้องคดีตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมตำรวจแล้ว คำชี้ขาดย่อมเป็นอันถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 พนักงานอัยการต้องฟ้องคดีไปตามนั้น เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้อำนาจอธิบดีกรมอัยการรื้อฟื้นขึ้นมาชี้ขาดใหม่ได้ อธิบดีกรมอัยการจึงไม่มีอำนาจที่จะชี้ขาดกลับคำสั่งของตนได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1683/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของเจ้าพนักงาน
ในการจับนั้น เจ้าพนักงานหรือราษฎรซึ่งทำการจับต้องแจ้งแก่ผู้ที่จะถูกจับนั้นว่าเขาต้องถูกจับ จำเลยกับพวกมิได้บอกว่าโจทก์จะต้องถูกจับ เพียงแต่แจ้งว่าจะเอาไปสอบสวนคดีใหม่ และไม่ได้บอกด้วยว่าคดีอะไร โจทก์เข้าใจว่าเอาไปสอบสวนเพิ่มเติมคดีเรื่องโคของโจทก์หายที่เคยแจ้งความไว้ จึงได้ไปกับจำเลย ดังนี้ ถือว่าเป็นการจับโดยชอบด้วยกฎหมายหาได้ไม่
จำเลยเป็นตำรวจตำแหน่งสารวัตรใหญ่ โกรธแค้นโจทก์ที่มีหนังสือร้องเรียนถึงผู้กำกับฯ กล่าวหาว่าจำเลยรับสินบนจากผู้ต้องหา 2 คน ข้อหาลักทรัพย์ของโจทก์แล้วสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาสองคนนั้น จำเลยกับตำรวจอื่นที่สถานีเดียวกันได้นำตัวโจทก์ไปโดยอ้างว่าจะพาไปสอบสวนคดีใหม่แต่พาโจทก์ไปที่บ้านพักตำรวจแห่งหนึ่ง แล้วทำร้ายโจทก์และใส่กุญแจมือแล้วพาโจทก์ไปควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจดังนี้ เป็นการกระทำที่ลุอำนาจและเกินความเหมาะสมในการจับกุม เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่รอการลงโทษจำคุกแต่โทษคงเดิม ดังนี้จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา219 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6
จำเลยเป็นตำรวจตำแหน่งสารวัตรใหญ่ โกรธแค้นโจทก์ที่มีหนังสือร้องเรียนถึงผู้กำกับฯ กล่าวหาว่าจำเลยรับสินบนจากผู้ต้องหา 2 คน ข้อหาลักทรัพย์ของโจทก์แล้วสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาสองคนนั้น จำเลยกับตำรวจอื่นที่สถานีเดียวกันได้นำตัวโจทก์ไปโดยอ้างว่าจะพาไปสอบสวนคดีใหม่แต่พาโจทก์ไปที่บ้านพักตำรวจแห่งหนึ่ง แล้วทำร้ายโจทก์และใส่กุญแจมือแล้วพาโจทก์ไปควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจดังนี้ เป็นการกระทำที่ลุอำนาจและเกินความเหมาะสมในการจับกุม เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก 3 เดือน ปรับ 500 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่รอการลงโทษจำคุกแต่โทษคงเดิม ดังนี้จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา219 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1530/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ - ความผิดฐานทำไม้ - แก้ไขคำพิพากษา - สิทธิฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งห้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 83,160จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่5 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,86 การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 บทหนัก จำคุกจำเลยที่ 1 สี่ปี ลงโทษจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 บทหนักจำคุกจำเลยที่ 2 ที่ 3 คนละ2 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 4 ที่ 5 คนละ 1 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยทั้งห้ากระทำผิด 2 กรรม ลงโทษฐานร่วมกันทำไม้ยางโดยไม่รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติป่าไม้อีกกระทงหนึ่งจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 คนละ 3 ปี จำคุกจำเลยที่ 4 ที่ 5 คนละ 1 ปี 6 เดือนส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ศาลชั้นต้นจำคุกจำเลยทั้งห้าไม่เกินห้าปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทจึงไม่กำหนดโทษฐานนี้ ศาลอุทธรณ์ว่าเป็นความผิด 2 กรรม กำหนดโทษจำคุกจำเลยทั้งห้าอีกกระทงหนึ่งจึงเป็นการแก้ไขมากจำเลยมีสิทธิฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงในกระทงนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานลักลอบเอกสารราชการไปให้ทนายความ และปลอมแปลงเอกสาร เป็นความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ดูแลปกครองรักษาไว้โดยปลอดภัยซึ่งเอกสารราชการ และเอกสารสิทธิทั้งปวงอันเกี่ยวกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินของประชาชน จำเลยได้ลักลอบเอาเอกสารซึ่งจำเลยมีหน้าที่ดูแลรักษาออกจากตู้เก็บเอกสารไปบางฉบับ แล้วนำไปให้ ส. ทนายความตรวจดูนอกสถานที่ราชการ และจำเลยได้ปลอมเอกสารนั้นเช่นนี้เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดรวมทั้งแก่ทางราชการด้วยแล้ว จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและโดยทุจริตเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย (นอกจากจะผิดตามมาตรา158 และมาตรา 266 แล้ว)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2726/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: การปฏิบัติหน้าที่มิชอบ (ม.157) และหมิ่นประมาท ต้องพิจารณาหน้าที่ของจำเลยและอำนาจศาล
ฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยเป็นเพียงเจ้าพนักงานตำรวจผู้มีหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดกฎหมาย มิใช่พนักงานสอบสวน จึงไม่มีหน้าที่หรือสิทธิใดๆ ที่จะไล่โจทก์ออกจากห้องพนักงานสอบสวนได้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งจะมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เมื่อข้อหาตามมาตรา 157 ไม่มีมูลความผิดดังกล่าวแล้ว ข้อหาฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 จึงมิใช่ความผิดอันเกี่ยวพันกับข้อหาตามมาตรา 157 ซึ่งโจทก์จะมีสิทธิฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจชำระในความผิดซึ่งมีอัตราโทษสูงกว่าได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 24
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2444/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่มิชอบ, หน่วงเหนี่ยวกักขัง, ทำร้ายร่างกาย: การรวมโทษและความรับผิดชอบของจำเลย
จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดแกลังจับผู้เสียหายอ้างว่า กระทำผิดฐานเมาสุราอาละวาดทั้งที่ไม่เป็นความจริง อันเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และนำตัวผู้เสียหายออกจากบ้านไปไว้ที่แห่งหนึ่ง แล้วจึงปล่อยตัวผู้เสียหายไป อันเป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพตามมาตรา 310 ดังนี้ แม้การกระทำของจำเลยทั้งสามจะเป็นการกระทำหลายอย่าง แต่ก็ด้วยเจตนาอันเดียวกัน คือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และเป็นการกระทำต่อเนื่องกันการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นกรรมเดียวกัน แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90
จำเลยที่ 1 จับมือผู้เสียหายกระชากโดยแรงจนผู้เสียหายล้มลงได้รับบาดเจ็บที่นิ้วนางซ้ายและหัวเข่าซ้าย แพทย์ลงความเห็นว่าบาดแผลต้องใช้เวลารักษาประมาณ 5 วันตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตามมาตรา 295
จำเลยที่ 1 จับมือผู้เสียหายกระชากโดยแรงจนผู้เสียหายล้มลงได้รับบาดเจ็บที่นิ้วนางซ้ายและหัวเข่าซ้าย แพทย์ลงความเห็นว่าบาดแผลต้องใช้เวลารักษาประมาณ 5 วันตามพฤติการณ์แสดงว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงต้องมีความผิดตามมาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 466/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องกล่าวหาผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่มิชอบโดยทุจริตและข่มขืนใจ ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่างว่าไม่มีมูล
โจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีอาญา ฟ้องผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเป็นจำเลยโดยกล่าวหาว่าจำเลยแกล้งหน่วงเหนี่ยวกักขังโจทก์ โดยข่มขืนใจให้ ส. แก้ราคาหลักทรัพย์ของ ย. ผู้ขอประกันตัวโจทก์จากราคา 120,000 บาทให้เหลือเพียง 60,000 บาทจนไม่พอประกันกับแกล้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตไม่ยอมตีราคาหลักทรัพย์ของผู้ขอประกันเมื่อ 9 นาฬิกา จนเมื่อเวลาศาลจะปิดทำการแล้วจึงแจ้งแก่โจทก์ว่าหลักทรัพย์ไม่พอ ทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสไปหาหลักทรัพย์มาเพิ่มได้ทันทำให้โจทก์ถูกขังต่อมา แต่เมื่ออ่านคำฟ้องโดยตลอดแล้วจะเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยผู้ทำหน้าที่ศาลได้ตรวจดูหลักประกันตามบัญชีทรัพย์ที่ผู้ขอประกันยื่นมานั้นว่าจะเชื่อถือได้เพียงใดหรือไม่แล้วเห็นว่าตีราคาสูงกว่าราคาที่แท้จริงมากนักซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลเห็นว่าผู้ประกันไม่ควรตีราคาหลักประกันให้สูงผิดความจริงไปมากอันจะทำให้ศาลสิ้นความเชื่อถือจึงได้แก้ไขเสียให้ใกล้เคียงกับราคาจริงหากจะต้องเสียเวลาไปบ้าง ก็เป็นการกระทำที่อยู่ในการใช้ดุลพินิจภายในขอบอำนาจของผู้พิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และเมื่อข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องก็ไม่มีข้อที่จะแสดงว่าจำเลยกระทำไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเองหรือผู้อื่นแต่อย่างใด ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยแกล้งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยมีเจตนาทุจริตดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง การกระทำของจำเลยดังที่โจทก์ฟ้องจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 310 ที่โจทก์ขอให้ลงโทษที่ศาลยกฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องจึงชอบแล้ว
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนใจให้ ส. แก้ราคาหลักทรัพย์ในบัญชีทรัพย์ที่ ย. ยื่นขอประกันจำเลย บัญชีทรัพย์นี้จึงเป็นเอกสารซึ่งผู้ขอประกันทำยื่นต่อศาลหาใช่เอกสารซึ่งจำเลยมีหน้าที่ทำไม่และจำเลยมิได้รับรองเป็นหลักฐานหรือละเว้นไม่จดข้อความอันใดลงในเอกสารนั้นจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามมาตรา 161 และ 162
ฟ้องโจทก์กล่าวหาว่าจำเลยข่มขืนใจให้ ส. แก้ราคาหลักทรัพย์ในบัญชีทรัพย์ที่ ย. ยื่นขอประกันจำเลย บัญชีทรัพย์นี้จึงเป็นเอกสารซึ่งผู้ขอประกันทำยื่นต่อศาลหาใช่เอกสารซึ่งจำเลยมีหน้าที่ทำไม่และจำเลยมิได้รับรองเป็นหลักฐานหรือละเว้นไม่จดข้อความอันใดลงในเอกสารนั้นจึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามมาตรา 161 และ 162