คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ปลอมแปลงเอกสาร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 263 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4688/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวความผิดหลายบท: การยักยอกเช็คและปลอมแปลงเอกสารเพื่อปกปิด
จำเลยกระทำความผิดโดยเอาไปเสียซึ่งเอกสารเช็ครวม 2 คราวแล้วจำเลยได้กระทำการปลอมเอกสารในวันเดียวกันนั้น คือ แก้ไขตัวเลขจำนวนเช็คในเอกสารบัญชีจ่ายเงินซื้อลดเช็ค-ต่อเช็ค และลบตัดทอนข้อความในเอกสารการ์ดลูกหนี้ ทั้งนี้ก็โดยเจตนาปกปิดและทำให้ผู้เกี่ยวข้องหลงเชื่อว่าเช็คที่จำเลยเอาไปเสียมิได้นำมาขายลดเช็คกับบริษัท อ. จึงเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ.มาตรา 188 และ 264ต้องลงโทษตามมาตรา 188 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 แม้ปัญหาดังกล่าวจะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4688/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: การกระทำความผิดต่อเนื่องเกี่ยวกับการยักยอกเช็คและปลอมแปลงเอกสาร ต้องลงโทษตามบทที่มีโทษหนักสุด
จำเลยกระทำความผิดโดยเอาไปเสียซึ่งเอกสารเช็ครวม2 คราว แล้วจำเลยได้กระทำการปลอมเอกสารในวันเดียวกันนั้นคือ แก้ไขตัวเลขจำนวนเช็คในเอกสารบัญชีจ่ายเงินซื้อลดเช็ค-ต่อเช็ค และลบตัดทอนข้อความในเอกสารการ์ดลูกหนี้ทั้งนี้ก็โดยเจตนาปกปิดและทำให้ผู้เกี่ยวข้อหลงเชื่อว่าเช็คที่จำเลยเอาไปเสียมิได้มาขายลดเช็คกับบริษัท อ.จึงเป็นการกระทำต่อเนื่องกัน เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188และ 264 ต้องลงโทษตามมาตรา 188 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 แม้ปัญหาดังกล่าวจะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4001/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ธนาคารต้องตรวจสอบลายมือชื่อผู้ถอนเงินอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร
ธนาคารจำเลยที่ 1 เป็นผู้มีอาชีพรับฝากเงินจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อของโจทก์ผู้ฝากเงินให้ละเอียดรอบคอบ เมื่อเปรียบเทียบลายมือโจทก์ในใบถอนเงินฝากกับลายมือโจทก์ในบัตรตัวอย่างลายมือชื่อผู้ฝากและสมุดคู่ฝากแล้ว เห็นได้ว่าลักษณะการเขียนและลายเส้นลายหนาแตกต่างกัน เช่นตัว "ย" เป็นต้น เมื่อปรากฎด้วยว่าลายมือในใบถอนเงินฝากก็มิใช่เป็นของโจทก์ทั้งหมด จึงเป็นสิ่งผิดปกติ เพราะหากโจทก์มาถอนเงินด้วยตนเองก็น่าจะต้องกรอกข้อความทั้งหมดด้วยตนเอง จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 จึงควรจะต้องสอบถามให้ได้ความว่าผู้ใดเป็นผู้กรอกข้อความร่วมกับผู้ถอนหรือขอตรวจดูบัตรประจำตัวประชาชนหรือใช้ความระมัดระวังในการตรวจสอบลายมือชื่อให้ลายละเอียดรอบคอบมากขึ้น แต่ปรากฎว่าจำเลยที่ 4 มิได้กระทำ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 4 ได้ตรวจลายมือชื่อโจทก์โดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งผู้ตรวจในภาวะเช่นจำเลยที่ 4 จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ จำเลยที่ 4 อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์เพียงแต่ทำสมุดคู่ฝากหายไปเท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ เหตุที่เกิดขึ้นในคดีนี้เพราะมีผู้ปลอมลายมือชื่อโจทก์ในใบถอนเงินและนำไปถอนเงินจากจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ได้จ่ายเงินให้ผู้ปลอมไปโดยประมาทเลินเล่อโดยโจทก์ไม่มีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วย ดังนี้เหตุที่โจทก์ทำสมุดหาย จึงไม่ใช่ผลโดยตรงที่ทำให้เกิดเหตุในคดีนี้ โจทก์จึงไม่มีส่วนร่วมในความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 ด้วย จำเลยทั้งสี่ให้การว่าโจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีนี้โดยไม่สุจริต เพราะโจทก์มาถอนเงินด้วยตนเอง และเป็นความผิดของโจทก์เองที่ทำสมุดหาย ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทที่ว่า จำเลยทั้งสี่ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์มีส่วนประมาทเลินเล่อด้วยหรือไม่ และโจทก์เรียกค่าเสียหายได้เพียงใด ที่จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่าโจทก์มีส่วนรู้เห็นในการปลอมใบถอนเงินฝาก จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1904/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ มีโทษร้ายแรง แม้ผู้เสียหายถอนฟ้องฉ้อโกง ความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารยังคงอยู่
การที่จำเลยปลอมโฉนดซึ่งเป็นเอกสารราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา266(1)เป็นความผิดที่มีโทษจำคุกขั้นสูงถึงสิบปีพฤติการณ์ที่จำเลยปลอมโฉนดและนำโฉนดที่จำเลยปลอมไปหลอกลวงกู้เงินโจทก์ร่วมถึง600,000บาทนั้นมีลักษณะเป็นภัยร้ายแรงต่อโจทก์ร่วมและสุจริตชนโดยทั่วไปซึ่งมิใช่วิสัยของคนที่เคยเป็นสมาชิกสภาจังหวัดมาเป็นเวลาถึง5ปีเช่นจำเลยจักพึงกระทำแม้จำเลยจะใช้ค่าเสียหายเป็นที่พอใจจนโจทก์ร่วมถอนคำร้องทุกข์ในความผิดฐานฉ้อโกงไปแล้วก็มีผลเพียงแต่ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในข้อหาฉ้อโกงระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)เท่านั้นแต่ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมซึ่งจำเลยกระทำนั้นหาได้ระงับไปด้วยไม่พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1300/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์เพื่อชำระหนี้และการกระทำที่ไม่เป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสารและโกงเจ้าหนี้
การที่ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาและชำระหนี้แก่จำเลยในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษานั้นเป็นการกระทำตามคำสั่งศาลในชั้นบังคับคดีเพื่อนำเงินที่ศาลมีคำสั่งให้ยึดไว้ชั่วคราวในคดีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษายึดไว้ในอีกคดีหนึ่งไปเฉลี่ยให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหากเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเห็นว่าหนี้ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายก็คัดค้านไม่ให้จำเลยนี้เข้ามาเฉลี่ยทรัพย์ได้การกระทำของจำเลยจึงไม่เข้าลักษณะอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา185หรือมาตรา187 สำหรับปัญหาที่ว่าจำเลยมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา264และมาตรา265หรือไม่นั้นจากคำเบิกความของป. และท. จะเห็นได้ว่าได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้โดยรู้ว่าท. ค้างชำระหนี้เงินกู้แก่จำเลยแม้จะฟังว่ากหรือจำเลยกรอกข้อความลงในเอกสารที่มีลายมือชื่อของป.กับท. แล้วนำเอกสารดังกล่าวฟ้องเรียกเงินกู้ก็เป็นการกรอกข้อความลงในเอกสารซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยเชื่อด้วยความสุจริตและได้กรอกลงไปตรงตามความเป็นจริงทั้งได้รับความยินยอมจากเจ้าของลายมือชื่อแล้วสัญญากู้ดังกล่าวย่อมไม่เป็นเอกสารปลอมการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้จะต้องมีเจตนาพิเศษเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือผู้อื่นได้รับชำระหนี้แต่ตามข้อเท็จจริงในคดีปรากฎว่าท. ยอมรับว่าเคยกู้เงินจากจำเลยและยังค้างชำระหนี้อยู่ใกล้เคียงกับจำนวนตามที่จำเลยฟ้องจริงแสดงว่าจำเลยเป็นเจ้าหนี้อยู่จริงเมื่อไม่ปรากฎพฤติการณ์ระหว่างจำเลยกับป. อันส่อเจตนาเพื่อมิให้กรมตำรวจในฐานะเจ้าหนี้ของป. ได้รับชำระหนี้แล้วการกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดอำนาจศาลไม่ใช่การฟ้องซ้ำ คดีปลอมแปลงเอกสารเป็นคนละประเด็น
จำเลยกระทำการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 31 (1), 33 ซึ่งกฎหมายดังกล่าวให้ศาลมีอำนาจพิเศษในการสั่งลงโทษจำเลยได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดร้องขอหรือเป็นโจทก์ฟ้อง แม้จำเลยได้อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วพนักงานอัยการได้ทำคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการเป็นโจทก์
ความผิดของจำเลยคดีนี้เป็นเรื่องปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม โดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์จึงเป็นคนละเรื่องและคนละประเด็นกับคดีฐานละเมิดอำนาจศาล ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษจำคุกจำเลยและคดีถึงที่สุดแล้ว สิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์คดีนี้ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ.มาตรา 39 (4) โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยเป็นคดีนี้ได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารธรรมดา ซึ่งบุคคลคนหนึ่งมอบหมายให้บุคคลอีกคนหนึ่งมีอำนาจจัดการทำนิติกรรมแทนตนเท่านั้น ไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิอย่างใด ไม่ใช่เอกสารสิทธิ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องซ้ำคดีปลอมแปลงเอกสาร แม้เคยถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลแล้ว สิทธิฟ้องไม่ระงับ และประเด็นเอกสารธรรมดาไม่ใช่เอกสารสิทธิ
ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผิดต่อศาลซึ่งกฎหมายดังกล่าวให้ศาลมีอำนาจพิเศษในการสั่งลงโทษได้โดยไม่ต้องมีผู้ใดร้องขอหรือเป็นโจทก์ฟ้องแม้พนักงานอัยการจะได้ทำคำแก้อุทธรณ์ของจำเลยก็ถือไม่ได้ว่าพนักงานอัยการเป็นโจทก์ส่วนความผิดคดีนี้เป็นเรื่องปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยพนักงานอัยการเป็นโจทก์จึงเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกับคดีฐานละเมิดอำนาจศาลซึ่งถึงที่สุดแล้วสิทธินำคดีมาฟ้องของโจทก์คดีนี้ย่อมไม่ระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(4) หนังสือมอบอำนาจเป็นเอกสารธรรมดาซึ่งบุคคลหนึ่งมอบหมายให้บุคคลหนึ่งมีอำนาจจัดทำนิติกรรมแทนตนเท่านั้นไม่เป็นเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการก่อตั้งสิทธิจึงไม่ใช่เอกสารสิทธิตามความแห่งกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2917/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาปลอมแปลงเอกสารเพื่อใช้แทนของจริง การมีส่วนรู้เห็นในการกรอกรายละเอียดถือเป็นตัวการ
จำเลยว่าจ้าง จ.จัดพิมพ์ใบหุ้นธนาคาร ม. และบริษัท ผ.ซึ่งเป็นแบบฟอร์มยังไม่ได้กรอกข้อความโดยเจตนาจะนำไปกรอกข้อความรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญเพื่อใช้อย่างใบหุ้นที่แท้จริงซึ่งต่อมาก็มีการกรอกข้อความดังกล่าวแล้วนำไปฝากขายที่บริษัท ว.แสดงว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นในการกรอกข้อความจึงเป็นตัวการในความผิดฐานปลอมใบหุ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 253/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐาน, ความผิดฐานพยายามฆ่า, ปลอมแปลงเอกสาร, และการครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต
พยานโจทก์เบิกความยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้เสียหายเพราะพนักงานสอบสวนเบิกความรับว่าอาวุธปืนที่ยิงมา3ถึง4วันถ้าไม่ล้างทำความสะอาดเมื่อหักลำกล้องดมดูอาจมีกลิ่นไหม้อยู่ได้พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายหรือไม่ โจทก์ไม่มีพยานมาสืบว่าจำเลยนำอาวุธปืนลูกซองกระบอกอื่นมาตอกหมายเลขทะเบียนลงไปใหม่ในอาวุธปืนของกลางคงมีแต่คำรับสารภาพชั้นจับกุมและ ชั้นสอบสวนของจำเลยเพียงอย่างเดียวซึ่งจำเลยได้ ให้การปฏิเสธในชั้นศาล พยานหลักฐานโจทก์ยัง ไม่พอฟังลงโทษจำเลยใน ฐานปลอมเอกสารราชการและฟังไม่ได้ว่าอาวุธปืนของกลางเป็นคนละกระบอกกับอาวุธปืนที่จำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อันจะเป็นความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตส่วนความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวโดยไม่ได้รับอนุญาตเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ไม่ได้เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิหลอกลวงผู้อื่นให้เกิดความเสียหายทางทรัพย์สิน
ความผิดฐานปลอมสัญญากู้เงินที่มีชื่อ ช. เป็นผู้กู้ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนจำคุกจำเลยในความผิดกระทงนี้ไม่เกิน5 ปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์นำสืบพิสูจน์ไม่ได้ว่าสัญญากู้เงินดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม กับขอให้รอการลงโทษแก่จำเลยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยเขียนสัญญากู้เงินและลงลายมือชื่อของ จ. โดย จ.มิได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินด้วยตนเองและไม่มีกฎหมายให้อำนาจให้ลงลายมือชื่อแทนกันได้ สัญญากู้เงินดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่จำเลยทำปลอมขึ้นซึ่งน่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมผู้ให้กู้ จำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ และเมื่อจำเลยนำเอกสารดังกล่าวไปแสดงต่อโจทก์ร่วมทำให้โจทก์ร่วมหลงเชื่อว่าเป็นสัญญากู้เงินที่ จ.ลงลายมือชื่อไว้จริง และมอบเงินตามสัญญากู้เงินให้แก่จำเลย จึงเป็นกรณีที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมจำเลยจึงมีความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมและฉ้อโกงโจทก์ร่วม แม้ต่อมาจำเลยจะนำเงินไปมอบให้แก่ จ.ก็ไม่มีผลทำให้ความผิดที่จำเลยก่อขึ้นจนสำเร็จแล้วกลายเป็นไม่มีความผิด
of 27