พบผลลัพธ์ทั้งหมด 97 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนในกรณีถูกข่มขู่ด้วยอาวุธและมีเหตุให้เชื่อว่าภัยอันตรายใกล้ถึงตัว ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง
ผู้ตายกับจำเลยเป็นข้าราชการตำรวจสถานีเดียวกันมีเรื่องโกรธเคืองกันอย่างรุนแรงมาก่อนคืนเกิดเหตุมีงานเลี้ยงที่หอประชุมเมื่องานเลิกแล้วผู้ตายพบจำเลยที่หน้าหอประชุมผู้ตายเดินเข้าไปหาจำเลยโดยประสงค์ร้ายพร้อมกับพูดว่า'วันนี้เป็นวันตายของมึง'และมีตำรวจด้วยกันเดินเข้าไปด้วยจำเลยเดินถอยหลังผู้ตายเดินตามและชักปืนพกออกมาจำเลยเดินถอยหลังไปจนติดหอประชุมจึงใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย1นัดถือได้ว่าจำเลยได้กระทำเพื่อป้องกันชีวิตของตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงพอสมควรแก่เหตุส่วนที่มีการด่าทอและกล่าวคำผรุสวาทกันก่อนเมื่อจำเลยมิได้เป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทและไม่มีเจตนาจะวิวาทกับผู้ตายการป้องกันดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2807/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนโดยชอบด้วยกฎหมาย: การต่อสู้ป้องกันตัวจากกลุ่มผู้บุกรุกทำร้ายร่างกาย
การที่ผู้ตายกับพวกบุกรุกเข้าไปในบ้านของจำเลยทำร้ายร่างกายน้องเขยจำเลยจนสลบและจะรุมทำร้ายจำเลยอีกจำเลยย่อมมีสิทธิกระทำการใด ๆเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายจากการกระทำของผู้ตายกับพวกที่ใกล้จะถึง การที่จำเลยใช้มีดดาบแทงผู้ตายถึงแก่ความตายในขณะที่จำเลยต่อสู้เพื่อให้พ้นจากการรุมทำร้ายของผู้ตายกับพวก จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ทั้งกำลังชุลมุนต่อสู้กัน ฝ่ายจำเลยมีเพียงคนเดียว ส่วนผู้ตายกับพวกมีอยู่ถึงสามคน ไม่
ปรากฏว่าขณะนั้นพวกผู้ตายคนใดอยู่ในลักษณะอย่างใดตามรายงานการตรวจศพได้ความว่าผู้ตายถูกแทงเพียงทีเดียวดังนั้นการที่จำเลยแทงผู้ตายด้านหลังจึงรับฟังไม่ได้ว่า ภยันตรายจากการกระทำของผู้ตายกับพวกได้ผ่านพ้นไปแล้ว การกระทำเพื่อป้องกันตนของจำเลยยังไม่หมดไป
ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ทั้งกำลังชุลมุนต่อสู้กัน ฝ่ายจำเลยมีเพียงคนเดียว ส่วนผู้ตายกับพวกมีอยู่ถึงสามคน ไม่
ปรากฏว่าขณะนั้นพวกผู้ตายคนใดอยู่ในลักษณะอย่างใดตามรายงานการตรวจศพได้ความว่าผู้ตายถูกแทงเพียงทีเดียวดังนั้นการที่จำเลยแทงผู้ตายด้านหลังจึงรับฟังไม่ได้ว่า ภยันตรายจากการกระทำของผู้ตายกับพวกได้ผ่านพ้นไปแล้ว การกระทำเพื่อป้องกันตนของจำเลยยังไม่หมดไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2807/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนจากการถูกทำร้ายและรุมทำร้าย ศาลฎีกาพิจารณาถึงเหตุการณ์ชุลมุนและความได้สัดส่วนในการใช้กำลัง
การที่ผู้ตายกับพวกบุกรุกเข้าไปในบ้านของจำเลยทำร้ายร่างกายน้องเขยจำเลยจนสลบและจะรุมทำร้ายจำเลยอีกจำเลยย่อมมีสิทธิกระทำการใด ๆเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายจากการกระทำของผู้ตายกับพวกที่ใกล้จะถึง การที่จำเลยใช้มีดดาบแทงผู้ตายถึงแก่ความตายในขณะที่จำเลยต่อสู้เพื่อให้พ้นจากการรุมทำร้ายของผู้ตายกับพวก จึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน ทั้งกำลังชุลมุนต่อสู้กัน ฝ่ายจำเลยมีเพียงคนเดียว ส่วนผู้ตายกับพวกมีอยู่ถึงสามคน ไม่ปรากฏว่าขณะนั้นพวกผู้ตายคนใดอยู่ในลักษณะอย่างใด ตามรายงานการตรวจศพได้ความว่าผู้ตายถูกแทงเพียงทีเดียวดังนั้นการที่จำเลยแทงผู้ตายด้านหลังจึงรับฟังไม่ได้ว่า ภยันตรายจากการกระทำของผู้ตายกับพวกได้ผ่านพ้นไปแล้ว การกระทำเพื่อป้องกันตนของจำเลยยังไม่หมดไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตายจากเหตุวิวาทในวงสุรา ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์
จำเลย ผู้เสียหายและผู้ตายต่างเมาสุราแล้วเป็นปากเสียงทะเลาะวิวาทกันในวงสุรา และต่อเนื่องมาจนเกิดเหตุจำเลยแทงผู้เสียหายและผู้ตายเป็นเรื่องต่างสมัครใจวิวาทเข้าทำร้ายกันเนื่องจากขาดสติเพราะเมาสุรา จำเลยจะอ้างว่าเป็นการป้องกันตนโดยชอบหาได้ไม่ผู้ตายมีบาดแผลถึง 8 แผลโดยเฉพาะที่หน้าอกมีถึง 6 แผล และทะลุเข้าหัวใจ เป็นเหตุให้ถึงตายแสดงว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2322/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวิวาทและการป้องกันตน: แม้มีอาวุธ การสมัครใจวิวาททำให้การอ้างป้องกันตนไม่สำเร็จ
จำเลยโต้เถียงกับผู้ตายแล้วสมัครใจเข้าวิวาทต่อสู้กันผู้ตายและผู้เสียหายมีอาวุธในมือจะเข้าทำร้ายจำเลย จำเลยยิงผู้ตายและผู้เสียหาย จำเลยอ้างว่าป้องกันไม่ได้
จำเลยโดดขึ้นรถสามล้อเครื่องที่ขับผ่านมาบังคับให้ขับเร็ว ๆ คนขับขับเร็วขึ้นกว่าปกติไม่ได้ เพราะสภาพการจราจรในขณะนั้น เป็นความผิดฐานพยายามซึ่งไม่บรรลุผลตาม มาตรา 309,80
จำเลยโดดขึ้นรถสามล้อเครื่องที่ขับผ่านมาบังคับให้ขับเร็ว ๆ คนขับขับเร็วขึ้นกว่าปกติไม่ได้ เพราะสภาพการจราจรในขณะนั้น เป็นความผิดฐานพยายามซึ่งไม่บรรลุผลตาม มาตรา 309,80
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2541/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา: สุจริต ป้องกันตน หรือคลองธรรม มิอาจเป็นเหตุแก้ผิดได้
โจทก์ร่วมเคยให้หนังสือพิมพ์ลงพิมพ์เกี่ยวกับจำเลยมีข้อความทำนองว่าจำเลยไปแจ้งความเท็จแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจหาว่าโจทก์ร่วมลักทรัพย์ เป็นการพยายามทำให้โจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ฯลฯไปรับเงินสายหนังมาก็ปลอมลายมือโจทก์ร่วมว่ารับเงินจากจำเลยแล้ว จำเลยจึงเขียนข้อความส่งไปลงพิมพ์โฆษณาโต้ตอบในหนังสือพิมพ์ว่าโจทก์ร่วมเป็นเมียน้อยของจำเลย ทั้งๆ ที่จำเลยรู้อยู่ว่าโจทก์ร่วมมีสามี เป็นผลให้สามีโจทก์ร่วมเข้าใจผิด ดังนี้ การกระทำของจำเลยหาใช่เป็นการแสดงความคิดเห็น หรือข้อความใดโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตน หรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมอันเกิดจากการที่โจทก์ร่วมให้หนังสือพิมพ์ลงพิมพ์เกี่ยวกับจำเลยไม่ จำเลยไม่อาจอ้างข้อนี้ขึ้นเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2238/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกล่าวความจริงเพื่อป้องกันตนหรือส่วนได้เสีย ไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท
จำเลยฟ้องผู้เสียหายกับพวกในข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำร้ายร่างกายและทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ แล้วนำสำเนาคำฟ้องไปให้นักข่าวหนังสือพิมพ์ดูพร้อมกับเล่าให้ฟังว่า ผู้เสียหายมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยเป็นส่วนตัวแล้วแกล้งจับกุมและทำร้ายร่างกายจำเลย นักข่าวได้นำลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ได้ความว่าในขณะจำเลยไปเล่าเรื่องให้นักข่าวฟังนั้น จำเลยให้ดูบาดแผลที่ถูกทำร้ายด้วย และศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษพวกของผู้เสียหายคนหนึ่งฐานทำร้ายร่างกาย จำเลย (จำเลยถอนฟ้องผู้เสียหาย) ตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวทำให้เป็นที่สงสัยว่า ผู้เสียหายอาจมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยแล้วแกล้งจับกุมจำเลยดังที่จำเลยให้ข่าวในหนังสือพิมพ์ การกระทำของจำเลยเช่นนี้จึงเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงโดยสุจริต เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจับกุมและการป้องกันตน: กรณีความผิดซึ่งหน้า, การใช้อำนาจเกินเหตุ และการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิโดยชอบ
คืนเกิดเหตุมีการลักลอบเล่นการพนันกันบนบ้านผู้มีชื่ออันเป็นที่รโหฐาน ผู้เสียหายกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจแต่ไม่ใช่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ได้รับคำสั่งให้ไปจับกุม จึงพากันไปยังบ้านที่เกิดเหตุ แต่ไม่มีหมายจับหรือหมายค้นไปด้วย ไปถึงได้แอบดูเห็นคนหลายคนกำลังเล่นการพนันกันอยู่ กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นความผิดซึ่งเห็นกำลังกระทำลง อันเป็นความผิดซึ่งหน้าตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 80
ขณะเกิดเหตุนั้นมีคนบนเรือนประมาณ 50 คน ทั้งที่กำลังเล่นและมิได้เล่นการพนัน ถ้าปล่อยให้เนิ่นช้าไปโดยไม่จับทันที ก็อาจจับผู้กระทำความผิดไม่ได้เลย เพราะปนเปกันอยู่มาก ทั้งบรรดาพยานหลักฐานต่างๆ ก็อาจสูญหายหรือถูกทำลายไปหมด จึงเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง ผู้เสียหายกับพวกจึงมีอำนาจเข้าไป (ค้น) ในบ้านที่เกิดเหตุอันเป็นที่รโหฐานในเวลากลางคืนโดยไม่ต้องมีหมายค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 96(2) ประกอบด้วยมาตรา 92(2) และมีอำนาจจับผู้กระทำความผิด โดยไม่ต้องมีหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 80และมาตรา 81(1)
ขณะที่ผู้เสียหายกับพวกเข้าทำการจับกุมนั้น พวกผู้เล่นแตกฮือกันรีบหนีลงจากเรือนผู้เสียหายวิ่งเข้าจับข้อมือจำเลย จำเลยสะบัดหลุด ผู้เสียหายใช้ปืนตีศีรษะจำเลยจนจำเลยล้มลงไป ขณะเดียวกันมีตำรวจอื่นเข้ากลุ้มรุมทำร้ายจำเลยด้วย แม้ผู้เสียหายจะมีอำนาจจับ แต่การใช้วิธีการจับดังกล่าวนี้รุนแรงเกินความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งเรื่อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 วรรคสอง การจับของผู้เสียหายดังนี้จึงเป็นการใช้วิธีจับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย. จำเลยจึงชอบที่จะป้องกันสิทธิของจำเลยให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการจับโดยใช้วิธีการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายนี้ได้ ไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยได้ใช้มีดแทงผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลย และมีตำรวจอื่นอีกหลายคนกลุ้มรุมเข้ามาทำร้ายจำเลยด้วย ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่ท้อง 1 แห่ง และที่ไหล่ขวาอีก 1 แห่ง รักษาประมาณ 21 วันหาย และมีดที่จำเลยใช้แทงก็เป็นมีดขนาดเล็ก ประกอบกับแทงในขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนสับสน อันอาจทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าจำเลยจะถูกผู้เสียหายและตำรวจอื่นทำร้ายเอาอีก การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ
(วรรค 1-2 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2516)
ขณะเกิดเหตุนั้นมีคนบนเรือนประมาณ 50 คน ทั้งที่กำลังเล่นและมิได้เล่นการพนัน ถ้าปล่อยให้เนิ่นช้าไปโดยไม่จับทันที ก็อาจจับผู้กระทำความผิดไม่ได้เลย เพราะปนเปกันอยู่มาก ทั้งบรรดาพยานหลักฐานต่างๆ ก็อาจสูญหายหรือถูกทำลายไปหมด จึงเป็นกรณีฉุกเฉินอย่างยิ่ง ผู้เสียหายกับพวกจึงมีอำนาจเข้าไป (ค้น) ในบ้านที่เกิดเหตุอันเป็นที่รโหฐานในเวลากลางคืนโดยไม่ต้องมีหมายค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 96(2) ประกอบด้วยมาตรา 92(2) และมีอำนาจจับผู้กระทำความผิด โดยไม่ต้องมีหมายจับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 80และมาตรา 81(1)
ขณะที่ผู้เสียหายกับพวกเข้าทำการจับกุมนั้น พวกผู้เล่นแตกฮือกันรีบหนีลงจากเรือนผู้เสียหายวิ่งเข้าจับข้อมือจำเลย จำเลยสะบัดหลุด ผู้เสียหายใช้ปืนตีศีรษะจำเลยจนจำเลยล้มลงไป ขณะเดียวกันมีตำรวจอื่นเข้ากลุ้มรุมทำร้ายจำเลยด้วย แม้ผู้เสียหายจะมีอำนาจจับ แต่การใช้วิธีการจับดังกล่าวนี้รุนแรงเกินความเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งเรื่อง ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 83 วรรคสอง การจับของผู้เสียหายดังนี้จึงเป็นการใช้วิธีจับที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย. จำเลยจึงชอบที่จะป้องกันสิทธิของจำเลยให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการจับโดยใช้วิธีการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายนี้ได้ ไม่เป็นความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงาน
จำเลยได้ใช้มีดแทงผู้เสียหายในขณะที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลย และมีตำรวจอื่นอีกหลายคนกลุ้มรุมเข้ามาทำร้ายจำเลยด้วย ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บที่ท้อง 1 แห่ง และที่ไหล่ขวาอีก 1 แห่ง รักษาประมาณ 21 วันหาย และมีดที่จำเลยใช้แทงก็เป็นมีดขนาดเล็ก ประกอบกับแทงในขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนสับสน อันอาจทำให้จำเลยเข้าใจได้ว่าจำเลยจะถูกผู้เสียหายและตำรวจอื่นทำร้ายเอาอีก การกระทำของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อป้องกันตนพอสมควรแก่เหตุ
(วรรค 1-2 วินิจฉัยโดยมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตนเกินสมควรแก่เหตุ: การใช้ปืนตอบโต้การทำร้ายร่างกายด้วยมือเปล่า
บ. กับ น. ไม่มีอาวุธ เข้ากลุ้มรุมชกต่อจำเลย จำเลยใช้ปืนยิง น. หนึ่งนัด ขณะที่ น. กอดหลังจำเลย น.ผละออกและซไป จำเลยยิงซ้ำอีก กระสุนปืนถูกบริเวณคอและใต้ราวนมขวา แล้วจำเลยหันไปยิง บ. อีก 2-3 นัด ในระยะกระชั้นชิดติดพันกันนั้นเอง ถูกที่เหนือนมและสีข้าง น. และ บ. ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยดังนี้เป็นการฆ่าคนโดยเจตนาเพื่อป้องกันตนเกินสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 64/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตนเกินสมควร: การใช้ปืนตอบโต้การทำร้ายร่างกายด้วยมือเปล่า
บ. กับ น. ไม่มีอาวุธ เข้ากลุ้มรุมชกต่อยจำเลยจำเลยใช้ปืนยิง น. หนึ่งนัดขณะที่ น. กอดหลังจำเลยน. ผละออกและเซไป จำเลยยิงซ้ำอีก กระสุนปืนถูกบริเวณคอและใต้ราวนมขวา แล้วจำเลยหันไปยิง บ. อีก2-3 นัด ในระยะกระชั้นชิดติดพันกันนั้นเองถูกที่เหนือนมและสีข้างน. และ บ. ถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยดังนี้ เป็นฆ่าคนโดยเจตนาเพื่อป้องกันตน เกินสมควรแก่เหตุ