พบผลลัพธ์ทั้งหมด 132 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3948/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองตามกฎหมายอาญา: ภยันตรายใกล้จะถึงและการใช้กำลังพอสมควร
การที่จำเลยเดินออกจากบ้านมาตามถนนในหมู่บ้านเนื่องจากน้อยใจที่ถูกสามีดุด่า มีคนเข้ามาเตะก้นและจับแขนจำเลย จำเลยตกใจหันกลับไปพร้อมกับแกว่งมีดโต้ที่ถือมาเพื่อป้องกันตัวไป 3 - 4 ครั้ง ครั้นเมื่อได้ยินเสียงร้องจึงจำได้ว่าเป็นผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำไปเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และการกระทำดังกล่าวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3948/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองตามกฎหมายอาญา: การใช้มีดป้องกันตัวเมื่อถูกทำร้าย
การที่จำเลยเดินออกจากบ้านมาตามถนนในหมู่บ้านเนื่องจากน้อยใจที่ถูกสามีดุด่า มีคนเข้ามาเตะก้นและจับแขนจำเลย จำเลยตกใจหันกลับไปพร้อมกับแกว่งมีดโต้ที่ถือมาเพื่อป้องกันตัวไป 3-4 ครั้งครั้นเมื่อได้ยินเสียงร้องจึงจำได้ว่าเป็นผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำไปเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และการกระทำดังกล่าวพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย: การยิงเพื่อป้องกันการถูกทำร้ายด้วยอาวุธอันตราย
ขณะที่จำเลยเฝ้ายามอยู่หน้าโรงงาน ผู้ตายเมาสุราเดินเข้าไปต่อว่าจำเลยเรื่องการเปิดประตูโรงงาน แล้วผู้ตายหยิบไม้ท่อนหนึ่งขนาดเท่าแขนยาวประมาณ 1 เมตร ตรงเข้ามาจะตีจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด ถูกผู้ตายที่หน้าอกถึงแก่ความตาย เช่นนี้เมื่อพิเคราะห์ถึงไม้ที่ผู้ตายจะใช้ตีจำเลยนั้นมีขนาดใหญ่และยาวพอสมควรที่จะใช้เป็นอาวุธตีจำเลยให้ถึงตายได้ ยิ่งขณะนั้นผู้ตายมีอาการมึนเมาย่อมขาดความยับยั้งไม่มีอะไรจะยับยั้งผู้ตายได้จำเลยกำลังปฏิบัติหน้าที่เป็นยามป้องกันทรัพย์สินของโรงงานและสัญชาตญาณป้องกันตนเอง จำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้ตายโดยกะทันหันทันทีในเวลาฉุกละหุกไม่มีโอกาสเลือกยิงส่วนใดของผู้ตายหรือยิงขู่ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุไม่เป็นความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1988/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยป้องกันตนเองจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธร้ายแรง โดยใช้ปืนยิงตอบโต้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
ไม้ที่ผู้ตายจะใช้ตีจำเลยมีขนาดใหญ่และยาวพอสมควรที่จะใช้เป็นอาวุธตีจำเลยให้ถึงแก่ความตายได้ และขณะนั้นผู้ตายมีอาการมึนเมาสุราย่อมขาดความยับยั้ง จำเลยกำลังปฏิบัติหน้าที่เป็นยามป้องกันทรัพย์สินของโรงงาน และสัญชาตญาณป้องกันตนเองจำเป็นต้องใช้อาวุธปืนยิงไปทางผู้ตายโดยกะทันหันทันที แม้กระสุนจะถูกผู้ตายที่หน้าอกก็ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเลือกยิงตรงหน้าอกเพราะเป็นเวลาฉุกละหุกไม่มีโอกาสที่จำเลยจะเลือกยิงส่วนใดของผู้ตายหรือยิงขู่ได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 99/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ป้องกันตนเองเกินสมควร การยิงทำร้ายถึงแก่ชีวิต ศาลลดโทษตามเหตุผล
วันเกิดเหตุจำเลยต่อว่าผู้ตายเรื่องผู้ตายทุบตีภรรยาซึ่งเป็นบุตรสาวจำเลย และกล่าวหาว่าผู้ตายลักเงินของจำเลยไป ผู้ตายท้าทายแล้วถือมีดขอเข้าไปหาจำเลยพูดว่าจะเอาอย่างไรก็เอา จำเลยร้องห้ามว่าอย่าเข้ามา แต่ผู้ตายไม่ยอมฟังกลับเดินเข้าหา จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองยาวยิงไปที่หน้าอกผู้ตาย 1 นัด เป็นการกระทำโดยป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 แต่ผู้ตายไม่ได้จู่โจมทำร้ายจำเลยอาจเลือกยิงอวัยวะอื่นที่ไม่เป็นอันตรายถึงตายได้ การที่จำเลยยิงที่หน้าอกซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญ จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5568/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำเพื่อป้องกันตนเอง ไม่เป็นความผิดฐานชุลมุนต่อสู้ การพิเคราะห์เจตนาจากพฤติการณ์
การที่จำเลยที่ 1 เอามีดจี้คอจำเลยที่ 2 นั้น ผู้ที่ประสบเหตุการณ์อยู่ในฐานะอย่างจำเลยที่ 2 คงไม่มีจิตใจที่จะพิเคราะห์ว่า จำเลยที่ 1 จะแทงจริงหรือไม่ย่อมต้องดิ้นรนให้พ้นเหตุการณ์นั้น การที่จำเลยที่ 2 ชกจำเลยที่ 1 ไปทีเดียวในภาวะเช่นนี้นับเป็นการกระทำเพื่อป้องกันให้ตนพ้นอันตรายเท่านั้น หาได้มีเจตนาทำร้ายหรือสมัครใจวิวาทกับจำเลยที่ 1 ไม่ แม้ในเหตุการณ์ดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้ฆ่า ร. ตายด้วย จำเลยที่ 2 ก็หามีความผิดฐานชุลมุนต่อสู้กันและมีคนถึงแก่ความตายไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย: ผู้ถูกทำร้ายมีสิทธิป้องกันสิทธิของตนได้หากการกระทำเป็นไปเพื่อป้องกันภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้าย
ผู้เสียหายเมาสุราหาเรื่องเข้าชกจำเลยที่ 2 ก่อนจำเลยที่ 2 จึงชกสวนผู้เสียหายชกพลาดเนื่องจากเมาสุราจึงล้มคว่ำกับพื้นได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นเพียงการกระทำเพื่อป้องกันมิให้ผู้เสียหายทำร้ายเท่านั้น ซึ่งจำเลยที่ 2 จำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และได้กระทำพอสมควรแก่เหตุจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4286/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาท: สุจริต ป้องกันตนเอง ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 1 ซึ่งมีโจทก์ที่ 2 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว แต่ยังไปได้จำเลยเป็นภริยาอีกจนกระทั่งมีบุตรด้วยกัน 1 คน การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำตามที่โจทก์ทั้งสองฟ้องว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสอง นั้น จึงเป็นการกล่าวโดยสุจริตด้วยความชอบธรรมเพื่อป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่ใช่กล่าวเพื่อกลั่นแกล้งใส่ความโจทก์ทั้งสอง และไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสองด้วย โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์ที่ 1 มิได้ทำให้จำเลยมีครรภ์จำเลยมิได้เป็นภริยาโจทก์ที่ 1 และมิได้อยู่กินกับโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ไม่เคยกีดกัน ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวไม่เป็นความจริง จำเลยมีเจตนากลั่นแกล้งและหมิ่นประมาทโจทก์ทั้งสอง ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น อันเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2503 มาตรา 10
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2127/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย: ผู้ถูกทำร้ายมีสิทธิป้องกันการกระทำผิดได้ แม้จะใช้กำลังตอบโต้
ผู้เสียหายเป็นผู้ก่อเหตุร้ายขึ้นโดย ตบ หน้าจำเลยก่อน จำเลยไม่ได้สมัครใจต่อสู้ วิวาททำร้ายร่างกายกับผู้เสียหายด้วย การที่จำเลยเข้ากอดปล้ำตบ ตี ผู้เสียหายเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้ รับบาดเจ็บนั้น ย่อมถือ ได้ ว่าการกระทำของจำเลยพอสมควรแก่เหตุเป็นการป้องกันโดย ชอบด้วย กฎหมายตาม ป.อ. มาตรา 68.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2066/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองเกินกว่าเหตุ: การกระทำต่อเนื่องหลังพ้นภัยอันตราย
ผู้ตายกับพวกรวม 3 คน ถีบประตูห้องพักของจำเลยเพื่อจะเข้าไปทำร้ายจำเลยจนกลอนประตูหลุด ประตูเปิด แล้วเข้าไปทำร้ายจำเลยและจะทำร้ายภรรยาจำเลยซึ่ง มีครรภ์อยู่เป็นการกระทำทีอุกอาจและเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายทั้งเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง การที่จำเลยใช้มีดแทงคนทั้งสาม แม้จะแทงหลายทีก็เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของจำเลยในขณะนั้นจึงไม่มีความผิด หลังจากผู้ตายวิ่งออกมาจากห้องพักของจำเลยแล้ว จำเลยติดตามออกมาและใช้มีดแทงผู้ตายอีก 3 ที เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายแม้การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกระชั้นชิดกับการกระทำของจำเลยในตอนแรกซึ่งเป็นการป้องกันโดยชอบด้วย กฎหมายแต่เมื่อจำเลยแทงผู้ตายในขณะที่หมดโอกาสทำร้ายจำเลยแล้ว การกระทำของจำเลยในตอนนี้จึงเป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ป.อ. มาตรา 69.