คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พิสูจน์ความผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 154 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6643/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังพยานหลักฐานในคดีอาญา: ความน่าเชื่อถือของพยานบุคคล, คำรับสารภาพ, และการพิสูจน์ความผิด
บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟสว่างพอที่ประจักษ์พยานจะมองเห็นเหตุการณ์ได้แม้ท. เบิกความชั้นพิจารณาไม่ตรงกับพยานปากอื่นแต่ท. ก็เบิกความว่าในวันเบิกความจำหน้าคนร้ายไม่ได้แล้วและชั้นสอบสวนท. ชี้ตัวคนร้ายตรงกับคำเบิกความพยานโจทก์ปากอื่นอีก2ปากพยานโจทก์ปากนี้จึงไม่เสียไปเมื่อจำเลยทั้งสองถูกจับในวันรุ่งขึ้นจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองก็ให้การรับสารภาพและพาไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำให้การรับสารภาพหลังเกิดเหตุเพียง3วันเชื่อว่าจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพโดยสมัครใจจึงใช้ยันจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา134

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6207/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพและการพิสูจน์ความผิดทางอาญา: หน้าที่ของศาลและโจทก์ในการรับฟังพยานหลักฐาน
คดีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง แม้จำเลยมีอายุ17 ปีเศษ และถ้าศาลเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพและศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานแล้วให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษา โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นคงแต่อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษจำเลยในสถานหนักเท่านั้น ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานให้เห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริง ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้ และเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5033/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพที่ไม่ชัดเจน การพิสูจน์ความผิดฐานนำเข้าของผิด และความผิดต่างกรรมกันในการแปรรูปไม้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักลอบนำเครื่องเลื่อยยนต์เข้ามาในราชอาณาจักรหรือรับของดังกล่าวจากคนร้ายไว้ในครอบครองโดยช่วยกันซ่อนเร้นซื้อและช่วยพาเอาไปเสียซึ่งสิ่งของดังกล่าวโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรแสดงว่าโจทก์ประสงค์ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาเดียวเพราะความผิดฐานลักลอบนำเข้ามาเองกับความผิดฐานรับเอาไว้จากที่ผู้อื่นลักลอบนำเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นความผิดคนละฐานกันจะลงโทษจำเลยในทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้คำให้การของจำเลยที่ว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ตลอดข้อกล่าวหาทุกประการไม่ชัดเจนพอว่าจำเลยได้กระทำผิดฐานใดจึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยเมื่อโจทก์ไม่นำสืบพยานจึงลงโทษจำเลยในฐานความผิดดังกล่าวไม่ได้และไม่มีเหตุที่จะย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นสอบถามคำให้การจำเลยใหม่ การแปรรูปไม้หวงห้ามและการมีไม้แปรรูปหวงห้ามไว้ในครอบครองแม้จำเลยกระทำผิดในวันเวลาเดียวกันและไม้แปรรูปที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเป็นไม้ที่จำเลยแปรรูปเองและกระทำต่อไม้จำนวนเดียวกันก็ตามการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดต่างกรรมกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา91

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพและการพิสูจน์ความผิดทางอาญา: โจทก์ต้องสืบพยานแม้จำเลยรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ, 62,89, 106 ทวิ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยมีอายุ16 ปีเศษ และถ้าศาลเห็นว่าสมควรพิพากษาลงโทษก็ให้ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดลงกึ่งหนึ่งตาม ป.อ.มาตรา 75 ก็ตาม ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2046/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสารภาพที่ไม่ชัดเจน จำเลยต้องพิสูจน์ความผิดฐานใดฐานหนึ่ง จึงจะลงโทษได้
ฟ้องขอให้ลงโทษ ลักทรัพย์หรือ รับของโจร แสดงว่า โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียวเพราะเป็นความผิดคนละฐานกันจำเลยให้การ รับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยกระทำผิดฐานใดแม้จะเป็น แบบพิมพ์ คำให้การที่โรเนียวล่วงหน้าไว้ก็ตามก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้อง สืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งของจำเลยมิฉะนั้นลงโทษไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6459/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ - พยานหลักฐานไม่สมบูรณ์ - ยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์ที่ 2 ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานตำรวจในครั้งแรกนั้นเจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งเฉพาะข้อหาทำร้ายร่างกายหากจำเลยได้กระชากสร้อยคอที่สวมอยู่ที่คอของโจทก์ที่ 2 ไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะยืนยันให้เจ้าพนักงานตำรวจรับแจ้งในข้อหาวิ่งราวทรัพย์ด้วย และสร้อยคอที่อ้างว่า จำเลยกระชากไปนั้นหนัก 2 บาท หากจำเลยกระชากสร้อยซึ่งสวมอยู่ที่คอโจทก์ที่ 2 ขาดติดมือไปจริงโจทก์ที่ 2 ก็น่าจะได้รับบาดเจ็บที่คอด้วย แต่ไม่ปรากฏว่ามีบาดแผลที่คอโจทก์ที่ 2 ตามเหตุผลและพฤติการณ์ดังกล่าวมาพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีพิรุธสงสัยอันสมควรว่า จำเลยที่ 2 ได้กระชากสร้อยคอโจทก์ที่ 2 ไปหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5493/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำรับสารภาพและการพิสูจน์ความผิดฐานมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แม้ไม่มีพยานยืนยัน
แม้โจทก์จะไม่ได้นำประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน คงมีแต่คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม และขณะศาลสอบคำให้การ ซึ่งจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา แต่โจทก์ก็มีพยานหลักฐานอื่นนอกจากคำเบิกความของเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมมาประกอบให้เห็นว่า คำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและขณะศาลสอบคำให้การของจำเลยทั้งสองเป็นความจริงและโดยสมัครใจ พยานหลักฐานอื่นของโจทก์ดังกล่าวประกอบกันฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ตามฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานมีอาวุธปืนโดยมิได้รับอนุญาต จำเป็นต้องมีพยานหลักฐานและพยานบุคคล ไม่ใช่เพียงคำรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยมิได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว จำเลยให้การปฏิเสธโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนของกลางมาเป็นพยานหลักฐานและไม่ได้นำพยานมาสืบว่าจำเลยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองตามกฎหมายและไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว คงมีเพียงพนักงานสอบสวนเบิกความว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเท่านั้น พยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2846/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดทางศุลกากร: โจทก์ต้องนำสืบพยานให้ชัดเจนถึงฐานความผิดที่จำเลยกระทำ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรเป็นผู้ลักลอบนำพาเลื่อยยนต์ ซึ่งเป็นของที่มีถิ่นกำเนิดผลิตในต่างประเทศซึ่งยังมิได้เสียภาษีและยังมิได้ผ่านศุลกากร โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลที่จะต้องเรียกค่าภาษีอากรขาเข้า หรือมิฉะนั้น จำเลยได้ซื้อ รับจำนำ รับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์ และช่วยพาเอาไปเสีย ช่วยจำหน่าย ช่วยซ่อนเร้น ซึ่งของดังกล่าวโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่ผู้อื่นลักลอบนำพาหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว เพราะความผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวเป็นคนละความผิดกันจะลงโทษจำเลยในทั้งสองข้อหาดังกล่าวย่อมไม่ได้ เมื่อจำเลยให้การว่า "ขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ" ย่อมไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยกระทำต่อพระราชบัญญัติศุลกากรฐานใด จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรของจำเลย เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานจึงลงโทษจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากรไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2277/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความร่วมมือในคดียาเสพติด: การพิสูจน์ความผิดจากพฤติการณ์ร่วมเดินทางและครอบครองกระเป๋า
จำเลยที่ 3 ร่วมเดินทางมากับจำเลยที่ 1 และที่ 2จากจังหวัดภูเก็ต มาจังหวัดสงขลาด้วยรถยนต์กระบะแล้วเข้าพักในโรงแรมเดียวกันจำเลยที่ 3 เป็นผู้ถือกระเป๋าสีดำเข้าไปในโรงแรม ต่อมาจำเลยที่ 1 หิ้วกระเป๋าออกจากโรงแรมขับรถออกไปพร้อมกับจำเลยที่ 2 และถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในที่เกิดเหตุพร้อมเฮโรอีนที่บรรจุในกระเป๋าสีดำ ดังนี้แม้จำเลยที่ 3 จะไม่ถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2แต่ตามพฤติการณ์ เชื่อได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1และที่ 2 กระทำผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามฟ้อง
of 16